การตัดสินใจของ ฟีฟ่า ที่จะเพิ่มจำนวนทีมในศึก ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลก 2031 จาก 32 เป็น 48 ชาติ กลายเป็นโอกาสทองที่มาพร้อมความท้าทายสำหรับหลายประเทศ โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือ ทีมชาติไทย ที่มีสิทธิ์กลับคืนสู่เวทีใหญ่ระดับโลกอีกครั้งในสมัยที่ 3 แต่เงื่อนไขของความหวังนี้ไม่ใช่แค่โควตาเพิ่มเท่านั้น หากแต่ขึ้นอยู่กับการพัฒนาอย่างเป็นระบบในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น ลีกอาชีพ, ระบบเยาวชน หรือแม้กระทั่ง การบริหารจัดการทีมชาติ เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงและต่อยอดสู่ความยั่งยืน

จากการประกาศของ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ชัดเจนแล้วว่าศึกฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลกในปี 2031 จะเปิดรับ 48 ชาติ ซึ่งถือเป็นการขยับครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ โดยมีการจัดสรรโควตาแต่ละทวีปดังนี้

โควตาเข้ารอบฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลก 2031 (อัตโนมัติ + เพลย์ออฟ)

  • ยุโรป: 20 + 2
  • เอเชีย: 8 + 2
  • อเมริกาใต้: 7 + 2
  • แอฟริกา: 4 + 2
  • คอนคาเคฟ: 5 (รวมเจ้าภาพสหรัฐฯ) + 3
  • โอเชียเนีย: 1 + 1
  • เพลย์ออฟข้ามทวีป: 3 จาก 12 ทีม

เมื่อพิจารณาโควตาของทวีปเอเชียที่เพิ่มขึ้นเป็น 8 ทีมอัตโนมัติ บวก 2 ทีมเพลย์ออฟ ถือว่าเป็นช่องทางที่เปิดกว้างมากกว่าที่เคยเป็นมา อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ในระดับทวีปยังคงมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะชาติที่มีความพร้อมและลงทุนต่อเนื่องมานาน ทั้ง ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลีใต้, เกาหลีเหนือ และ ออสเตรเลีย ต่างยืนหนึ่งในฐานะทีมขาประจำ

ในขณะที่กลุ่มที่เริ่มพัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง อย่าง ทีมชาติไทย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และ ไต้หวัน ก็เริ่มส่งเสียงให้ได้ยินในระดับเอเชีย แต่การแข่งขันจริงจะถูกพิสูจน์ในรายการ ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2026 ซึ่งเป็นรอบคัดเลือกโดยตรงของฟุตบอลโลก 2027 ที่จะจัดขึ้นที่บราซิล และถือเป็นบททดสอบสำคัญก่อนถึงฟุตบอลโลก 2031 ที่ทีมชาติไทยต้องผ่านให้ได้

หากทีมสาวไทยยังคงหวังตั๋วฟุตบอลโลกต่อไป สิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนคือการพัฒนา ลีกอาชีพหญิง ให้มีคุณภาพและความยั่งยืน เติมเต็มด้วยระบบ เยาวชน ที่มีโค้ชคุณภาพเป็นหัวใจหลักในการปั้นนักเตะ พร้อมสนับสนุนการ ส่งออกผู้เล่น ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในลีกชั้นนำต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการยกระดับขีดความสามารถของผู้เล่นแบบก้าวกระโดด

แม้เราจะเคยเข้าร่วมฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลกมาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2015 และ 2019 แต่ก็ต้องยอมรับว่า ผลงานยังไม่ถึงเป้าหมาย แถมยังฝากสถิติเชิงลบไว้หลายรายการที่ไม่น่าภูมิใจนัก

  • พ่ายสหรัฐฯ 13-0 ซึ่งเป็น สกอร์แพ้ขาดลอยที่สุด ในประวัติศาสตร์
  • ค่าเฉลี่ยเสียประตูสูงสุดต่อเกม ที่ 6.67
  • ผลต่างประตูได้เสียสูงสุด ที่ -19

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่ตราบาปหากแต่คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า เราจำเป็นต้องพัฒนาแบบจริงจังเพื่อให้ทีมชาติไทยไม่ใช่แค่ทีมที่ “ไปบอลโลก” แต่เป็นทีมที่ “แข่งขันได้” บนเวทีบอลโลก

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ มูลค่าทางเศรษฐกิจ ของการเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลกหญิง ซึ่งกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากรายการปี 2023 ที่ผ่านมา ทีมที่เข้าร่วมเพียงแค่รอบแบ่งกลุ่มก็ได้รับเงินสูงถึง กว่า 54 ล้านบาท ต่อทีม ขณะที่นักเตะได้รับคนละ กว่า 1 ล้านบาท จากฟีฟ่า และมีแนวโน้มว่าในปี 2027 และ 2031 จะเพิ่มขึ้นจนใกล้เคียงกับฟุตบอลชาย

ตัวเลขเงินรางวัลสำหรับทีม (ฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลก 2023)

  • แบ่งกลุ่ม: $1.56M (54 ล้านบาท)
  • 16 ทีม: $1.87M (64.8 ล้านบาท)
  • 8 ทีม: $2.18M (75.5 ล้านบาท)
  • อันดับ 4: $2.455M (85 ล้านบาท)
  • อันดับ 3: $2.61M (90 ล้านบาท)
  • รองแชมป์: $3.015M (104 ล้านบาท)
  • แชมป์: $4.29M (148.6 ล้านบาท)

เงินรางวัลสำหรับนักเตะ (ต่อคน)

  • แบ่งกลุ่ม: $30,000 (1 ล้านบาท)
  • 16 ทีม: $60,000 (2 ล้านบาท)
  • 8 ทีม: $90,000 (3 ล้านบาท)
  • อันดับ 4: $165,000 (5.7 ล้านบาท)
  • อันดับ 3: $180,000 (6.2 ล้านบาท)
  • รองแชมป์: $195,000 (6.7 ล้านบาท)
  • แชมป์: $270,000 (9.3 ล้านบาท)

นี่ไม่ใช่แค่การเล่นเพื่อเกียรติยศหรือศักดิ์ศรีอีกต่อไป แต่มันคือการเดินหน้าสู่ อุตสาหกรรมฟุตบอลหญิงระดับโลก ที่ให้ผลตอบแทนแบบมหาศาลทั้งต่อนักเตะ สมาคม และประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น ฟีฟ่ายังมีโครงการสนับสนุนเงินประจำปีสำหรับพัฒนาฟุตบอลหญิงโดยตรงแก่สมาชิก 211 ประเทศทั่วโลกอีกด้วย

ดังนั้น สำหรับ ทีมชาติไทย นี่คือเวลาสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง หากเราต้องการให้คำว่า “โอกาส” กลายเป็น “ความสำเร็จ” บนเวทีระดับโลก การยกระดับคุณภาพทีมไม่ใช่แค่เรื่องของสนามซ้อมหรือการคัดตัว แต่มันคือการลงทุนแบบครบวงจรทั้งโครงสร้าง เยาวชน การจัดการ และวิสัยทัศน์ที่ต้องลึกกว่าคำว่า “ลุ้นผ่านรอบคัดเลือก”

หากคุณอยากติดตามความเคลื่อนไหวที่เข้มข้นและเจาะลึกทุกแง่มุมแบบนี้อีก ติดตามเราได้ที่ ฟุตบอลไทย GOALSIAM แล้วคุณจะไม่พลาดทุกประเด็นร้อนในโลกฟุตบอล!