ความกดดันก่อนเกม – จากโอกาสทิ้ง 8 แต้มสู่เสี่ยงเสียจ่าฝูง
แค่ย้อนกลับไป สัปดาห์เดียว บรรยากาศรอบทีม อาร์เซนอล แตกต่างจากวันนี้อย่างสิ้นเชิง เกมก่อนหน้านี้พวกเขามีโอกาสทิ้งห่างคู่แข่งแย่งแชมป์ถึง 8 คะแนนในโปรแกรมเตะวันเสาร์ แต่กลับโดน แอสตัน วิลล่า ยิงประตูชัยช่วงทดเจ็บ กลายเป็นความผิดหวังระดับทำให้นักเตะนอนแผ่หมดแรงบนพื้น
ตัดภาพมาคืนนี้ สถานการณ์ความกดดันยิ่งหนักเข้าไปอีก เมื่อคู่แข่งอย่าง วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ทีมบ๊วยที่มีแค่ 2 แต้ม แพ้มา 8 นัดติด กลับมายิงตีเสมอ 1-1 ในนาที 90 และถ้าผลจบลงแบบนั้น มีโอกาสสูงที่อาร์เซนอลจะโดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แย่งจ่าฝูง หากซิตี้ชนะคริสตัล พาเลซในวันอาทิตย์
นี่จึงไม่ใช่แค่เกมธรรมดากับทีมท้ายตาราง แต่คือ 90 นาทีที่มีอนาคตการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ผูกอยู่ด้วยเต็มๆ
ครึ่งแรกฝืดจัด – ปืนใหญ่ไร้ความคม วูล์ฟส์เล่นบ๊วยแต่ไม่บ๊วยฟอร์ม
แม้คู่แข่งจะเป็นทีมอันดับสุดท้ายของลีก แต่รูปเกมครึ่งแรกกลับไม่เป็นอย่างที่แฟน “ปืนใหญ่” คาดหวัง อาร์เซนอลเล่นขาดความไหลลื่น จังหวะขึ้นเกมดูหนืด ขณะที่วูล์ฟส์กลับเป็นฝ่ายสร้างโอกาสลุ้นประตูได้ดีกว่า
เกมสวนกลับของทีมเยือนใช้ประโยชน์จากไลน์กองหลังที่ยืนสูงมากของอาร์เซนอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลายครั้งแนวรับเจ้าบ้านต้องวิ่งไล่กวดกลับหลังแทบไม่ทัน โดยเฉพาะจังหวะที่ ปิเอโร่ ฮินกาเป้ ลื่นเสียจังหวะ เปิดพื้นที่ให้วูล์ฟส์ได้โอกาสทองก่อนพักครึ่ง

ความเครียดบนอัฒจันทร์เพิ่มขึ้นเมื่อแฟนบอลเห็นอาร์เซนอลต้องเจอปัญหาอาการบาดเจ็บเพิ่มอีก ทั้งในเกมก่อนหน้านี้ที่เสีย กาเบรียล กับ คริสเตียน มอสเกรา ไปแล้ว มาถึงเกมนี้ยังมี เบน ไวท์ เดี้ยงเพิ่ม ขึ้นชื่อว่าแนวรับพากันลงไปนั่งข้างสนามแบบนี้ ย่อมไม่ใช่สัญญาณดีสำหรับทีมที่กำลังลุ้นแชมป์แน่นอน
ไม่แปลกที่ บูกาโย่ ซาก้า จะยอมรับตรงๆ หลังเกมว่า “มันน่าหงุดหงิดจริงๆ” กับฟอร์มในช่วงแรกของทีม
ปรับหมากครึ่งหลัง – ทริเปิลเปลี่ยนตัวเปลี่ยนสมดุล
แม้ครึ่งแรกจะอึดอัด แต่มิเกล อาร์เตต้าไม่รีบเปลี่ยนแผนทันที เขาปล่อยให้ 11 ตัวจริงเริ่มครึ่งหลังต่อไป แต่เมื่อเกมยังคงอึนๆ และรูปมวยไม่ต่างจากเดิมมากนัก ผ่านไปประมาณ 10 นาทีในครึ่งหลัง เขาตัดสินใจแทงกองหลังด้วย “ทริเปิลเปลี่ยนตัว”
คนที่โดนถอดออกคือ มาร์ติน ซูบีเมนดี้, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และเพลย์เมคเกอร์อย่าง เอเบเรชี เอเซ่ แทนที่ด้วย มิเกล เมริโน่, เลอันโดร ทรอสซาร์ และ มาร์ติน โอเดการ์ด ทำให้รูปแบบทีมเปลี่ยนไปเล็กน้อย โดยให้ ดีแคลน ไรซ์ ขยับลงมาเป็นตัวโฮลดิ้งมิดฟิลด์เต็มตัว
อาร์เตต้าอธิบายหลังเกมว่า “มันเหมือนนั่งรถไฟเหาะทั้งเกม ยิ่งนานเท่าไหร่ที่สกอร์ยัง 0-0 ฝั่งเขาก็ยิ่งมีความหวัง เราสร้างสถานการณ์ได้เยอะ แต่กลับแทบไม่มีโอกาสจังๆ ให้จบสกอร์เลย”
จุดเปลี่ยนแรก – ไรซ์ยิงปลุกทีม ก่อนความผิดพลาดของจอห์นสตัน
กว่าที่แฟนบอลในเอมิเรตส์จะได้เห็น ลูกยิงตรงกรอบ ลูกแรกของอาร์เซนอล ต้องรอถึงนาทีที่ 68 เมื่อ ดีแคลน ไรซ์ ลองส่องไกลใส่ แซม จอห์นสตัน นายด่านวูล์ฟส์
สถิติบอกว่า นี่คือการรอคอยนานที่สุดของอาร์เซนอลในเกมเหย้า พรีเมียร์ลีก กว่าจะมีลูกยิงเข้ากรอบนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2016 ในเกมพบเลสเตอร์ ซิตี้ แปลว่าตลอดเกือบ 70 นาทีแรก ทีมแทบไม่เคยทดสอบผู้รักษาประตูคู่แข่งแบบจริงจังเลย

แต่จากฮีโร่ที่เซฟลูกยิงไกลได้ จอห์นสตันกลับกลายเป็น “ผู้ร้ายจำเป็น” แค่สองนาทีต่อมา เมื่อเขาปัดลูกเตะมุมโค้งอันตรายของซาก้าไปชนเสา แต่บอลเด้งกลับมาโดนหัวตัวเองเข้าประตู เป็นการพลาดที่ใครก็ไม่อยากเจอในเกมระดับนี้
อาร์เซนอลนำ 1-0 และสนามทั้งสนามโล่งใจพร้อมกันในวินาทีนั้น
ผีจากวิลล่าพาร์คยังตามหลอน – ถอยลึกเกินเหตุจนโดนตีเสมอ
หลังนำ 1-0 แทนที่อาร์เซนอลจะคุมเกมต่อและปิดแมตช์ให้จบ แต่ภาพที่ออกมากลับตรงกันข้าม ทีมเจ้าบ้านเริ่มถอยลงต่ำแบบไม่จำเป็น ปล่อยให้วูล์ฟส์ขยับไลน์เกมบุกขึ้นมาสูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่รูปเกมก่อนหน้านั้นคู่แข่งยังไม่ได้มีโอกาสเข้าไปลุ้นแบบจังๆ ในเขตโทษมากนัก
ผลลัพธ์ของความ “ถอยลึกและเล่นติดประมาท” คือประตูตีเสมอนาทีที่ 90 เมื่อ โตลู อโรโคดาเร ขึ้นโขกส่งบอลเสียบตาข่าย เป็นช็อตที่ช็อกแต่ไม่ถึงกับเหนือความคาดหมาย เพราะตลอดช่วงท้ายเกมอาร์เซนอลแทบปล่อยให้วูล์ฟส์บุกใส่โดยไร้แรงต้าน
อาร์เตต้าออกมายอมรับแบบไม่ปิดบังว่า “หลังจากเรายิงนำ เรามีช่วงประมาณสองนาทีที่ถอยลึกเกินไปและเล่นแบบเฉื่อยเกินเหตุ จังหวะเสียประตูนั่นคือประตูที่เราไม่ควรเสียเลยจริงๆ”
จากความเจ็บปวดสู่โชคเข้าข้าง – ซาก้ากับลูกครอสชี้ชะตา
เกมนี้ต่างจากฝันร้ายที่วิลล่าพาร์คตรงที่ ยังมีเวลาให้แก้ตัว หลังจากโดนตีเสมอนาที 90 อาร์เซนอลยังพอเหลือโอกาสสุดท้าย และพวกเขาก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือ
ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ บูกาโย่ ซาก้า โชว์คลาสอีกครั้งด้วยการเปิดบอลอันตรายเข้าไปในกรอบโทษ ทิศทางและน้ำหนักลูกครอสเรียกได้ว่า “ปีศาจสุดๆ” ทำให้แนวรับวูล์ฟส์อย่าง เยร์ซอน มอสเกร่า พลาดโหม่งเข้าประตูตัวเอง เป็นการทำเข้าประตูตัวเองลูกที่สองของวูล์ฟส์ในเกมนี้ ส่งให้อาร์เซนอลแซงขึ้นนำ 2-1 แบบดราม่าขั้นสุด
ซาก้ากล่าวหลังเกมอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ บางครั้งคุณก็ต้องมีเรื่องของ ดวง เข้ามาเกี่ยว และวันนี้มันเป็นฝั่งเราบ้าง เราอยากให้ทุกทีมรู้ว่า การมาเยือนเอมิเรตส์ มันไม่ใช่งานง่ายแน่นอน”
ในเกมที่เพื่อนร่วมทีมหลายคนเล่นต่ำกว่ามาตรฐาน ซาก้าคือหนึ่งในไม่กี่คนที่โดดเด่นตลอด 90 นาที และด้วยการมีส่วนร่วมโดยตรงทั้งสองประตู เขาจึงคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเกมไปครองอย่างไร้ข้อโต้แย้ง
สรุป – ใจและดวงของแชมป์ หรือสัญญาณเตือนที่ต้องรีบแก้?
เมื่อมองจากภาพรวม นี่คือเกมที่สะท้อนสองด้านของ อาร์เซนอล อย่างชัดเจน ด้านหนึ่งคือความเปราะบาง ทั้งในเรื่องการเริ่มเกมช้า การขาดความคม และการถอยลึกจนเชิญชวนคู่แข่งกลับเข้าสู่เกม อีกด้านหนึ่งคือ “ความฮึดและดวงของทีมใหญ่” ที่ยังหาทางคว้าชัยชนะกลับมาได้แม้โดนตีเสมอนาทีสุดท้าย
อาร์เตต้าพูดชัดว่า “เราหาทางชนะจนได้ และนั่นคือเรื่องดีมาก แต่ก็มีหลายอย่างที่ต้องปรับปรุง ช่องว่างสกอร์ควรจะมากกว่านี้จากโอกาสที่เราสร้างได้”
ฝั่งอดีตกองหลังตำนานอย่าง มาร์ติน คีโอว์น ที่เคยอยู่ในทีม “ไร้พ่าย” แชมป์ลีกปี 2004 ยังมองว่า เกมนี้มีกลิ่นอายของ “ดวงแชมป์” ชัดเจน เขาถึงกับพูดว่า “Lucky Arsenal is back… จากที่พักหลังผมรู้สึกมันเป็นช่วง Arsenal ที่โชคร้ายมากกว่า”
ขณะที่ซาก้าทิ้งท้ายในมุมคนเล่น “เราจะรู้จริงๆ ว่าชัยชนะวันนี้สำคัญแค่ไหนก็คงต้องรอถึงเดือนพฤษภาคม แต่คืนนี้เรามีสิทธิ์ดีใจ ที่อย่างน้อยก็เก็บสามแต้มกลับบ้านได้”
และที่สำคัญ เกมนี้ทำให้อาร์เซนอลฉีกหนีเป็น 5 แต้ม พร้อมได้พักหนึ่งสัปดาห์เต็มก่อนลุยต่อในโปรแกรมถัดไป ถือเป็นสามคะแนนที่ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย แต่มีน้ำหนักเชิงจิตวิทยาสูงมากบนเส้นทางลุ้นแชมป์

เกล็ดความรู้จากเกมดราม่า อาร์เซนอล 2-1 วูล์ฟส์
- เกมนี้คือหนึ่งในครั้งที่อาร์เซนอลใช้เวลานานที่สุดในเกมเหย้า พรีเมียร์ลีก กว่าจะมีลูกยิงเข้ากรอบนับตั้งแต่ปี 2016 แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขาเริ่มเกมช้าและขาดความเฉียบคม
- วูล์ฟส์เป็นทีมบ๊วยที่มีแค่ 2 แต้ม และแพ้มา 8 นัดติด แต่ยังทำให้อาร์เซนอลลำบากจนนาทีสุดท้าย สะท้อนว่าบอลลีกอังกฤษ “ไม่มีเกมง่าย” จริงๆ
- การเสียประตูตีเสมอนาที 90 ติดต่อกับการถูกยิงทดเจ็บในเกมก่อนหน้า คือสัญญาณเตือนเรื่องสมาธิช่วงท้ายเกมของอาร์เซนอลอย่างชัดเจน
- สองประตูของอาร์เซนอลมาจากการทำเข้าประตูตัวเองของคู่แข่งทั้งคู่ แปลว่าโครงสร้างเกมรุกสร้างความกดดันได้ดี แต่การจบสกอร์โดยตรงจากแนวรุกยังต้องปรับอีกพอสมควร
- ชัยชนะนัดนี้ไม่เพียงรักษาจ่าฝูง แต่ยังให้ทีมได้ “พักแบบมีความมั่นใจ” หนึ่งสัปดาห์เต็ม ก่อนกลับมาเจอโปรแกรมหนักในช่วงท้ายปี ซึ่งถือเป็นทรัพยากรสำคัญในลีกที่ใช้พลังสูงอย่างพรีเมียร์ลีก
แฟนบอลที่อยากตามทุกจังหวะของการลุ้นแชมป์อาร์เซนอล ทั้งดราม่าปลายเกม สถิติลึกๆ และมุมมองเข้มๆ สไตล์นักข่าวบอล อย่าลืมติดตามบทวิเคราะห์มันส์ๆ และข่าวอัปเดตจากโลกฟุตบอลได้ที่ พรีเมียร์ลีก GOALSIAM นะคะ