ชีวิตสองทวีปของเด็กชายชื่อ มิโอะ แบ็คเฮาส์

เส้นทางของ มิโอะ แบ็คเฮาส์ ไม่ใช่สตอรี่นายประตูทั่วไป จากเด็กที่เกิดในเมืองมึนเช่นกลัดบัค ประเทศเยอรมนี แต่เติบโตกลางมหานครในญี่ปุ่น ก่อนจะกลับมาแจ้งเกิดกับ แวร์เดอร์ เบรเมน และก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในนายทวารที่ถูกจับตามองมากที่สุดใน บุนเดสลีกา

แบ็คเฮาส์เล่าว่า เขาเกิดในมึนเช่นกลัดบัค แต่ครอบครัวย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นตั้งแต่เขายังอายุประมาณหนึ่งขวบ จากนั้นน้องสาวของเขาก็มาลืมตาดูโลกที่ญี่ปุ่นในปี 2006 นั่นหมายความว่าครอบครัวของเขาปักหลักอยู่ที่ญี่ปุ่นมาตั้งแต่ช่วงต้นชีวิตของเขาแล้ว แม้เจ้าตัวจะยังไม่รู้เหตุผลทั้งหมดว่าทำไมพ่อแม่ถึงตัดสินใจย้ายไปอยู่แดนอาทิตย์อุทัย แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจคือ “พ่อแม่รักญี่ปุ่นมาก” และจนถึงทุกวันนี้ครอบครัวก็ยังใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น

โตในคาวาซากิ เมืองใหญ่ที่เพิ่งรู้ว่าพิเศษตอนจากมา

วัยเด็กท่ามกลางมหานครญี่ปุ่น

มิโอะเล่าย้อนว่า ครอบครัวอาศัยอยู่ในเมืองคาวาซากิ เมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ระหว่างโตเกียวและโยโกฮาม่า เรียกได้ว่าอยู่กลางหัวใจของมหานครญี่ปุ่นแบบเต็มตัว

สำหรับเขา ตอนเป็นเด็กมันไม่รู้สึกว่า “ว้าว” อะไรเป็นพิเศษ เพราะมันคือชีวิตประจำวัน – เมืองใหญ่ ผู้คนพลุกพล่าน สิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกอย่าง เขามองภาพนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อวันหนึ่งต้องย้ายออกจากญี่ปุ่น เขาถึงได้เริ่มคิดย้อนกลับว่า ช่วงเวลาที่เมืองนั้นให้กับเขาช่างพิเศษขนาดไหน

เขายังบอกด้วยว่า ทุกวันนี้ยังมี “เครือข่ายผูกพัน” อยู่ในญี่ปุ่นเต็มไปหมด ทั้งครอบครัว เพื่อนเก่า และครูในโรงเรียน การได้มีโอกาสกลับไปญี่ปุ่นในแต่ละครั้งจึงเหมือนการย้อนกลับบ้านอีกหลังหนึ่งของตัวเอง

อะไรทำให้ญี่ปุ่นไม่เหมือนใครในโลก

เมื่อถูกถามว่าญี่ปุ่นพิเศษอย่างไร แบ็คเฮาส์ตอบแบบไม่ต้องคิดนานว่า ประเทศนี้ “เปรียบเทียบกับที่ไหนในโลกไม่ได้จริงๆ” จุดเด่นที่เขาย้ำมีทั้งผู้คนที่สุภาพและตรงต่อเวลา การคมนาคมและการจราจรที่แน่นขนัดเต็มเมือง แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังมีพื้นที่สงบเงียบให้ซึมซับธรรมชาติ

เขายกตัวอย่างพื้นที่รอบภูเขาไฟฟูจิว่าเป็นหนึ่งในจุดที่ทำให้รู้สึกถึงความสงบและความสวยงามของธรรมชาติแบบเต็มๆ ญี่ปุ่นจึงเหมือนประเทศที่ “มีทุกอย่างในที่เดียว” ทั้งความทันสมัย ความเคารพระเบียบ ความเป็นเมืองใหญ่ และมุมสงบให้ได้หลบไปพักใจ

ตัดสินใจกลับเยอรมนีในวัย 13 – ความฝันที่ต้องแลกกับการห่างพ่อแม่

จากปิดเทอมที่เยอรมนี สู่การย้ายถาวร

แม้จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในญี่ปุ่น แต่พ่อแม่ของแบ็คเฮาส์เปิดทางเลือกให้ลูกๆ ตลอด พวกเขาพาลูกมาเยอรมนีในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนอยู่บ่อยครั้ง และตอนเรียนชั้น ป.4 พี่น้องทุกคนของบ้านนี้เคยใช้เวลาราว 6 เดือนในเยอรมนี ทำให้มิโอะผูกพันกับปู่ย่าตายายอย่างมาก

จุดเปลี่ยนสำคัญคือ ตอนที่พ่อแม่บอกกับเขาว่า “ถ้าฝันของลูกคือการใช้ชีวิตในเยอรมนี ก็ลองไปทำให้เต็มที่” สุดท้ายเขาตัดสินใจย้ายกลับมาเยอรมนีตอนอายุ 13 ปี พร้อมได้รับการดูแลจากปู่ย่าตายายที่ “รับเขาเหมือนลูกแท้ๆ” ซึ่งเจ้าตัวบอกว่ารู้สึกขอบคุณอย่างสุดหัวใจ

เจ็บปวดที่ต้องห่างพ่อแม่ แต่เชื่อว่าเลือกถูกแล้ว

แน่นอนว่าการย้ายประเทศแบบลำพังในวัยแค่ 13 ไม่ใช่เรื่องง่าย มิโอะแยกจากพ่อแม่ แต่มีครอบครัวฝั่งเยอรมนีคอยโอบอุ้ม เขายอมรับว่ามันไม่ง่าย แต่สำหรับตัวเขาเอง นี่คือความฝันที่รอไม่ได้ และเขาเชื่อว่ามันคือ “การตัดสินใจที่ถูกต้อง”

เขายังบอกด้วยว่า สำหรับพ่อแม่แล้ว นี่คงไม่ใช่การตัดสินใจที่สบายใจนัก แต่ทั้งสองคนก็เลือกจะ “สนับสนุนความฝันของลูกก่อนเสมอ” และไม่เคยห้ามในสิ่งที่เขาอยากทำ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกกตัญญูต่อครอบครัวมากขึ้น

สายสัมพันธ์ญี่ปุ่นในห้องแต่งตัวเบรเมน

ในห้องแต่งตัวของ แวร์เดอร์ เบรเมน แบ็คเฮาส์ไม่ได้เป็นคนเดียวที่มีรากเหง้าเกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น เขายังมีเพื่อนร่วมทีมอย่าง ยูกินาริ สึกาวาระ ที่เป็นแข้งญี่ปุ่นเต็มตัว และทั้งคู่ก็สนิทกันเป็นพิเศษ

มิโอะเล่าว่าทั้งสองคนนั่งติดกันในห้องแต่งตัว ซึ่งเขาเชื่อว่าทีมงานสโมสร “ตั้งใจจัดที่นั่งแบบนั้น” เพื่อช่วยให้การปรับตัวของเขาง่ายขึ้น ทั้งคู่มักคุยกันเป็นภาษาญี่ปุ่น และสึกาวาระก็มักชวนเขาไปกินข้าว หรือทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันนอกสนาม ทำให้เจ้าตัวรู้สึกว่าได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง

นอกจากนี้เขายังยังติดต่อกับเพื่อนเก่าอย่าง โคตะ ทาคาอิ อดีตรุ่นเดียวกันที่ คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ซึ่งตอนนี้ข้ามน้ำมาเล่นให้สโมสรดังในยุโรปอย่างท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ทั้งสองมองกันและกันว่าเป็นตัวอย่างของเด็กจากอะคาเดมีเดียวกันที่ต่างเดินทางไล่ล่าความฝันในยุโรปคนละเส้นทาง

จากปีกซ้ายสู่ผู้รักษาประตู – จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา

หลายคนอาจคิดว่าแบ็คเฮาส์เติบโตมาแบบ “โกล์แท้ๆ” ตั้งแต่เด็ก แต่ความจริงคือ เขาเริ่มต้นสายฟุตบอลในตำแหน่งปีกซ้าย ก่อนจะย้ายมาเล่นเป็น ผู้รักษาประตู เต็มตัว

สมัยเล่นกับคาวาซากิ ฟรอนตาเล่ เขาลงเฝ้าเสาบ่อยครั้ง แต่ถ้าเมื่อไรที่มีอาการเจ็บมือ เขาก็จะถูกดันขึ้นไปเล่นนอกกรอบเขตโทษในตำแหน่งตัวรุกริมเส้น ซึ่งเขายอมรับว่า ต้องขอบคุณช่วงเวลานั้น เพราะมันหล่อหลอมให้เขากลายเป็นโกล์ที่ “เล่นบอลกับเท้าได้ดี” แบบที่เห็นในวันนี้ ซึ่งเป็นสกิลสำคัญมากในฟุตบอลยุคใหม่

ไอดอลลูกหนัง – จากพัฟเลนก้า ถึง มานูเอล นอยเออร์

เมื่อพูดถึงฮีโร่ในตำแหน่งนายประตู แบ็คเฮาส์ยอมรับตรงๆ ว่าเขาเติบโตมากับการ “ดูฟอร์มของพัฟเลนก้า” อดีตมือหนึ่งของเบรเมนอย่างใกล้ชิด และมองว่าเป็นแบบอย่างสำคัญในช่วงที่ตัวเองยังไต่เต้าขึ้นมาในสโมสร

อีกชื่อหนึ่งที่เขายกให้เป็นไอดอลตลอดกาลคือ มานูเอล นอยเออร์ ที่แทบจะนิยามคำว่า “สweeper-keeper” และเปลี่ยนวิธีคิดของคนทั้งโลกเกี่ยวกับตำแหน่งผู้รักษาประตู การเติบโตมากับการดูมือกาวระดับนี้ ทำให้มิโอะพยายามนำบางส่วนของทั้งสองคนมาผสมผสานเป็นสไตล์ของเขาเอง

เดบิวต์บุนเดสลีกา – เกมแรกที่จบด้วยความขม แต่เต็มไปด้วยความหมาย

ความรู้สึกของครอบครัวที่ญี่ปุ่น

เมื่อเขาได้รับโอกาสลงเฝ้าเสาเป็นตัวจริงใน บุนเดสลีกา ครั้งแรก ครอบครัวที่ญี่ปุ่นถึงกับ “งง” เพราะไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้ภายในทีมมีสถานการณ์ตึงเครียดอะไรบ้าง พวกเขารู้ข่าวจริงๆ ก็หลังเกมจบไปแล้ว และจำต้องตามดูย้อนหลังกันทีหลัง

อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้แล้วว่าลูกชายได้เดบิวต์เป็นตัวจริงในลีกสูงสุดของเยอรมนี ทุกคนก็เต็มไปด้วยความดีใจและภูมิใจในตัวเขา

23 สิงหาคม 2025 – วันที่จำได้ไม่ใช่เพราะชัยชนะ

สำหรับมิโอะเอง วันที่ 23 สิงหาคม 2025 ไม่ได้ตราตรึงในแง่ของผลการแข่งขัน เพราะ แวร์เดอร์ เบรเมน พ่ายแพ้ในแมตช์นั้น เขายอมรับว่าหงุดหงิดและผิดหวังที่ไม่สามารถช่วยทีมเก็บแต้มได้ แต่ในมุมของการเติบโต มันคืออีกหนึ่งก้าวสำคัญในชีวิต

เขาเล่าว่าก่อนเกม ตัวเองมีทั้งโฟกัสและความประหม่าอยู่พร้อมกัน เขาตัดสินใจ “วางโทรศัพท์ไว้ห่างตัว” ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อตัดสิ่งรบกวน และพยายามโฟกัสแค่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในสนามเท่านั้น แม้จะตื่นเต้นกว่าปกติ แต่เขาก็ยังคงนอนหลับได้ดีในคืนก่อนแข่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในนิสัยที่ช่วยให้เขารับมือกับความกดดันได้

เดบิวต์เยอรมนี U21 – ความภูมิใจครั้งใหม่ แต่ยังไม่รีบเลือกทีมชาติ

การถูกเรียกติดทีม เยอรมนี U21 และได้ลงเดบิวต์ ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของแบ็คเฮาส์ เขาบอกอย่างตรงไปตรงมาว่ารู้สึก “ภูมิใจมาก” และหวังว่าจะได้สัมผัสกับ “เดบิวต์ครั้งใหม่” ในเส้นทางทีมชาติอีกในอนาคต

ตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ชีวิตของเขาเหมือนถูกเร่งสปีดทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ แต่เจ้าตัวเชื่อว่าจุดแข็งของเขาคือ การปล่อยให้ “ทุกอย่างจบอยู่ในสนาม” เขาพยายามไม่ให้สิ่งรอบข้างมากวนใจในระหว่างแข่งขัน แม้จะมีเรื่องให้คิดบ้าง แต่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองหลุดโฟกัสระหว่างเกม และหวังว่าจะรักษาความนิ่งแบบนี้เอาไว้ให้ได้ตลอด

เมื่อถูกถามถึงอนาคตในทีมชาติชุดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ทีมชาติเยอรมนี หรือ ทีมชาติญี่ปุ่น แบ็คเฮาส์ตอบชัดเจนว่า ตอนนี้เขายัง “ไม่เอนเอียงไปทางไหนทั้งนั้น” แม้ในมุมของฟุตบอลโลก เขาก็ไม่มองว่าตัวเองต้องรีบเลือก เขาขอเวลาและพื้นที่ในการคิด ก่อนจะตัดสินใจครั้งสำคัญในภายหลัง

ความหมายของการเป็นมือหนึ่งแวร์เดอร์ เบรเมน

สำหรับบางคน การเป็นตัวจริงในสโมสรใหญ่ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่สำหรับแบ็คเฮาส์ มันมีความหมายลึกกว่านั้น เพราะ แวร์เดอร์ เบรเมน ไม่ได้เป็นแค่สโมสรในปัจจุบัน แต่มันคือทีมที่เขาใช้ชีวิตอยู่มาแล้วราว 7–8 ปี เป็นสถานที่ที่หล่อหลอมเขาในช่วงวัยสำคัญ

เขาย้ำว่าตัวเอง “ซาบซึ้งใจต่อหลายคนในสโมสร” ที่ช่วยดันเขาขึ้นมาจนถึงวันนี้ ทั้งโค้ช สตาฟฟ์ และเพื่อนร่วมทีม การได้เป็นมือหนึ่งของสโมสรที่ตัวเองผูกพันจึงเป็นเหมือนการทำความฝันให้เป็นจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฝันจะจบแค่นี้

ในมุมของเขา การได้เฝ้าเสาให้เบรเมนเป็นเพียง “บทแรก” ของหนังยาวเท่านั้น ยังมีความฝันอีกหลายอย่างที่เขาอยากไล่ล่า ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ทุกวันในการซ้อมและลงสนามของเขายังมีเป้าหมายชัดเจน

สรุป – เรื่องเล่าของนายทวารที่ยืนอยู่กลางสองวัฒนธรรม

เส้นทางของ มิโอะ แบ็คเฮาส์ คือภาพสะท้อนของนักเตะยุคใหม่ที่เติบโตบนสองวัฒนธรรม ชีวิตเริ่มจากเยอรมนี เติบโตในญี่ปุ่น กลับมาสร้างชื่อในบุนเดสลีกา และกำลังยืนอยู่กลางทางแยกของการเลือกทีมชาติในอนาคต

เบื้องหลังความสำเร็จวันนี้คือการตัดสินใจครั้งใหญ่ตั้งแต่อายุ 13 การย้ายประเทศโดยไม่มีพ่อแม่ การขวนขวายโอกาสในสโมสรเดียวมากว่า 7–8 ปี และการรักษาโฟกัสไม่ให้หลุดแม้จะมีแรงกดดันถาโถมจากทุกด้าน

ไม่ว่าในอนาคตเขาจะเลือกสวมธงชาติใด แต่สิ่งที่ชัดเจนแล้วในวันนี้คือ เขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าความพยายามที่ต่อเนื่อง และการตัดสินใจไม่หนีความฝัน สามารถพาเด็กคนหนึ่งขยับขึ้นมาเป็นมือหนึ่งของสโมสรใหญ่ในลีกระดับท็อปของยุโรปได้จริง

เกล็ดความรู้: นายทวารสายลูกผสมเยอรมัน–ญี่ปุ่น

  • นักเตะที่มีพื้นฐานทั้งจากยุโรปและญี่ปุ่นมักมีจุดเด่นเรื่องวินัย การเคารพระบบทีม และความเข้าใจแท็กติกที่ละเอียดอ่อน
  • การเคยเล่นตำแหน่งผู้เล่นเอาต์ฟิลด์มาก่อน ช่วยให้ผู้รักษาประตูอ่านจังหวะเกมรุกของคู่แข่งได้ดีขึ้น รวมถึงออกบอลด้วยเท้าได้แม่นยำในสไตล์ฟุตบอลยุคใหม่
  • ผู้เล่นที่เติบโตจากอะคาเดมีในเอเชีย แล้วข้ามไปเล่นยุโรป มักต้องเผชิญความต่างทั้งด้านสภาพร่างกายและสปีดเกม แต่ถ้าปรับตัวได้ จะกลายเป็นจุดแข็งเรื่องความแกร่งทางจิตใจ
  • การลุ้นติดทีมชาติสองสัญชาติไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกการตัดสินใจคืออนาคตทั้งอาชีพ แต่ก็ทำให้นักเตะแบบแบ็คเฮาส์มีมุมมองกว้างและยืดหยุ่นต่อระบบฟุตบอลของแต่ละประเทศ
  • สโมสรที่ให้โอกาสผู้เล่นเติบโตต่อเนื่องยาวนานอย่างแวร์เดอร์ เบรเมน คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักเตะวัยหนุ่มสามารถพัฒนาได้เต็มศักยภาพ

แฟนบอลที่อยากตามทุกเรื่องราวเบื้องหลังนักเตะสายเลือดผสม เส้นทางสู่การเป็นตัวจริงในบุนเดสลีกา และข่าวเด็ดจากโลกฟุตบอล อย่าลืมติดตามทุกความเคลื่อนไหวมันส์ๆ ได้ที่ ฟุตบอลต่างประเทศ GOALSIAM