หายไปจนเกือบลืม แต่ชื่อยังอยู่ในเสื้อยูเวนตุส

แฟนบอลจำนวนไม่น้อยอาจลืมไปแล้วว่า อาร์คาดิอุส มิลิค ยังเป็นนักเตะของ ยูเวนตุส อยู่จริงๆ เพราะเขาหายหน้าไปจากทีมแบบยาวนานเกือบปีครึ่ง แต่ล่าสุดข่าวดีมาถึงแล้ว เมื่อศูนย์หน้าทีมชาติโปแลนด์วัย 31 ปี กลับมาลงซ้อมร่วมกับเพื่อนร่วมทีมได้อีกครั้ง นับเป็นก้าวสำคัญหลังต้องใช้เวลากว่า 550 วัน ในการต่อสู้กับอาการบาดเจ็บสุดทรมาน

มิลิคย้ายมาจาก โอลิมปิก มาร์กเซย แบบยืมตัวในปี 2022 ก่อนที่ยูเวนตุสจะตัดสินใจซื้อขาดในซัมเมอร์ 2023 ด้วยค่าตัวรวมราว 8 ล้านยูโร เขาลงเล่นให้ทีมไปแล้ว 75 นัดอย่างเป็นทางการ ยิงได้ 17 ประตู และทำ 2 แอสซิสต์ แม้ตัวเลขจะไม่หวือหวาเหมือนหัวหอกเบอร์หนึ่งของยุค แต่ทุกประตูของเขาคือความสำคัญในฐานะตัวสแตนด์บายที่ไว้ใจได้ของ “ม้าลาย”

จากชัยชนะนัดสุดท้าย สู่วันเริ่มต้นของฝันร้าย

เกมสุดท้ายที่มิลิคลงเล่นให้ยูเวนตุส ต้องย้อนไปถึงชัยชนะ 2-0 เหนือ มอนซ่า ในศึก กัลโช่ เซเรีย อา เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2024 หลังจากนั้นทุกอย่างเปลี่ยนไปในพริบตา

ในเดือนมิถุนายน 2024 เขาได้รับบาดเจ็บหนักบริเวณเส้นเอ็นหัวเข่า (knee ligament) อาการไม่ใช่แค่พักไม่กี่สัปดาห์ แต่ลากยาวจนต้องพักต่อเนื่อง และที่แย่กว่านั้นคือการฟื้นฟูที่เต็มไปด้วย “จุดสะดุด” หลายครั้ง ทั้งอาการกำเริบ การตอบสนองร่างกายที่ไม่เป็นไปตามแผน และความเสี่ยงต่อการเจ็บซ้ำ

ตลอดช่วงเวลานั้น มิลิคแทบไม่ได้อยู่ใกล้สนามแข่งเลย เขาถูกแยกไปซ้อมเดี่ยว ทำกายภาพบำบัด ใช้เวลาส่วนใหญ่กับทีมแพทย์มากกว่ากับเพื่อนร่วมทีมในห้องแต่งตัว เป็นช่วงชีวิตที่สำหรับนักเตะอาชีพแล้ว “ทรมานไม่ต่างจากฝันร้าย”

ยูเวนตุสเจอ “มิลิคคนเดิม” อีกครั้ง หลังหายหน้าเกือบ 18 เดือน

หลังผ่านวันเวลาอันยาวนาน ในที่สุดแสงสว่างปลายอุโมงค์ก็เริ่มชัดเจนขึ้น สำหรับทั้งมิลิคและยูเวนตุส เมื่อสโมสรยืนยันว่า เขากลับมาลงซ้อมร่วมกับเพื่อนในทีมชุดใหญ่ได้แล้วเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี

แม้การซ้อมครั้งนี้จะยังไม่เต็มรูปแบบ มิลิคเพียงร่วมทำบางส่วนของโปรแกรมกับเพื่อนร่วมทีม ยังไม่ได้ซ้อมหนักหรือเข้าปะทะเต็มที่ แต่แค่การได้กลับมาอยู่ในกรอบฝึกซ้อมเดียวกัน วิ่งในสนามเดียวกัน และสัมผัสบรรยากาศกลุ่มอีกครั้ง ก็ถือเป็น “ชัยชนะก้อนแรก” หลังผ่าน 550 วันที่ต้องอยู่ห่างจากทีม

สำหรับยูเวนตุส การได้กองหน้าประสบการณ์สูงกลับมาอยู่ในทีมอย่างน้อยในฐานะตัวเลือกเพิ่มเติม ย่อมเป็นข่าวดีในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงโปรแกรมชุก ทั้งลีกและบอลถ้วย

บทบาทของมิลิคในยูเว่ – ไม่ได้เด่นสุด แต่สำคัญในรายละเอียด

แม้ชื่อของมิลิคจะไม่ได้ถูกวางไว้ในระดับซูเปอร์สตาร์เหมือนหัวหอกรายอื่น แต่ตัวเลข 17 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ จาก 75 เกม บอกชัดว่าเขาคืออาวุธเสริมที่เชื่อใจได้ในกรอบเขตโทษ

สไตล์ของเขาคือกองหน้าตัวเป้าเล่นบอลฉลาด ยืนตำแหน่งดี เล่นกับบอลโยนและลูกครอสได้ มีประสบการณ์ทั้งในลีกอิตาลีและระดับยุโรป การได้เขากลับมาอย่างน้อยช่วยให้ยูเวนตุสมีมิติในการโรเตชันมากขึ้น โดยเฉพาะเกมที่ต้องการกองหน้าตัวใหญ่คอยพักบอลหรือปักหลักในกรอบเขตโทษ

หากเขาสามารถเรียกฟอร์มใกล้เคียงช่วงที่สมบูรณ์ที่สุดกลับมาได้ ยูเวนตุสจะได้ “ตัวเลือกโบนัส” ที่ใครหลายคนอาจลืมไปแล้วว่ามีอยู่ในทีม

การกลับมาครั้งนี้สำคัญแค่ไหนต่อเส้นทางอาชีพของมิลิค

ในวัย 31 ปี เส้นทางค้าแข้งของมิลิคกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ การบาดเจ็บยาวขนาดนี้อาจทำให้นักเตะบางคนถอดใจหรือมองหาเส้นทางใหม่ แต่การกลับมาซ้อมร่วมกลุ่มของเขา แสดงให้เห็นถึงทั้งวินัยและแรงปรารถนาที่จะกลับมากอบกู้ชื่อเสียงของตัวเองในเวทีใหญ่

หากเขาใช้เวลาหลังจากนี้ไปทีละสเต็ปจากซ้อมบางส่วน → ซ้อมเต็มรูปแบบ → มีชื่อบนม้านั่ง → ลงเล่นช่วงท้ายเกม และสุดท้ายกลับมามีบทบาทจริงในสนามได้ นี่จะเป็นหนึ่งในสตอรี่ “คัมแบ็ก” ที่สวยงามอีกเรื่องบนเวทีฟุตบอลอิตาลี

และที่สำคัญ แฟนบอลม้าลายจะได้คำตอบว่า นักเตะที่พวกเขา “แทบลืมไปแล้ว” ยังมีอะไรเหลืออยู่ให้ฝากความหวังในช่วงโค้งสำคัญของฤดูกาลหรือไม่

สรุป – จาก 550 วันแห่งความเงียบ สู่ก้าวแรกของโอกาสครั้งใหม่

การกลับมาซ้อมกลุ่มของ อาร์คาดิอุส มิลิค ไม่ได้หมายความว่าเขาพร้อมลงสนามทันที แต่สำหรับโลกของฟุตบอลอาชีพ นี่คือก้าวที่สำคัญอย่างยิ่งจากสถานะ “คนเจ็บที่ถูกลืม” ไปสู่ “นักเตะที่พร้อมกลับมาเป็นตัวเลือกอีกครั้ง”

ยูเวนตุสได้ตัวเลือกในแนวรุกเพิ่มขึ้น ส่วนตัวมิลิคเองก็มีโอกาสพิสูจน์ว่า เขายังดีพอที่จะอยู่ในระดับท็อปของยุโรป การเดินทางหลังจากนี้อาจยังอีกยาวไกล แต่การได้ขยับจากห้องกายภาพกลับมาสู่วงซ้อมร่วมทีม คือสัญญาณว่าฝันร้าย 550 วันกำลังค่อยๆ ปิดฉากลง

แฟนบอลคงต้องจับตาดูว่า เมื่อถึงวันที่เขาได้เหยียบสนามแข่งขันจริงอีกครั้ง เขาจะกลับมาเป็นมิลิคคนเดิมได้แค่ไหน และจะฝากรอยเท้าอะไรไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ของ ยูเวนตุส ในช่วงท้ายอาชีพของตัวเอง

เกล็ดความรู้จากเคสการคัมแบ็กของมิลิค

  1. การบาดเจ็บเอ็นเข่ารุนแรง มักใช้เวลาฟื้นตัวนานหลายเดือน และเสี่ยงต่อการเจ็บซ้ำ หากเร่งคืนสนามเร็วเกินไป สโมสรใหญ่จึงเลือก “เซฟ” ระยะยาวมากกว่าการเสี่ยงเพื่อใช้งานระยะสั้น
  2. ตัวเลข 550 วันห่างสนาม แสดงให้เห็นว่าเส้นทางการฟื้นฟูของมิลิคไม่ได้ราบรื่น มีทั้งช่วงที่อาการดีขึ้นและแย่ลงสลับกันไป แต่เขายังไม่ยอมแพ้
  3. การกลับมาซ้อมร่วมกลุ่ม แม้จะเป็นเพียงบางส่วนของโปรแกรม ถือเป็นด่านสำคัญก่อนการซ้อมเต็มรูปแบบ เป็นขั้นที่ทีมแพทย์ใช้ประเมินทั้งสภาพร่างกายและความมั่นใจของนักเตะ
  4. สำหรับทีมระดับท็อป การมี “กองหน้าสำรองที่ไว้ใจได้” สำคัญพอๆ กับการมีตัวจริงระดับซูเปอร์สตาร์ เพราะช่วยให้ทีมหมุนเวียนนักเตะได้ โดยไม่ดร็อประดับการแข่งขันมากเกินไป
  5. นักเตะที่เคยเผชิญวิกฤติบาดเจ็บยาว ถ้ากลับมาได้สำเร็จ มักมีวุฒิภาวะและความมุ่งมั่นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลดีต่อห้องแต่งตัวและน้องๆ ในทีมเยาวชนที่มองเขาเป็นตัวอย่าง

แฟนบอลที่อยากตามทุกมุมของวงการลูกหนัง ไม่ว่าจะเป็นข่าวคัมแบ็กของแข้งดังในอิตาลี, ความเคลื่อนไหวในยุโรป หรือเรื่องเดือดจากลีกยอดนิยม อย่าลืมติดตามข่าวและบทวิเคราะห์เข้มๆ ได้ที่ ฟุตบอลต่างประเทศ GOALSIAM นะคะ