เคนในวัย 32: ยังไม่หมดแต่กำลัง “พีคสุด” กับบาเยิร์น

ในมุมของหลายคน อายุ 32 สำหรับกองหน้าอาจถูกมองว่าเริ่มเข้าสู่โค้งสุดท้ายของอาชีพ แต่สำหรับ แฮร์รี่ เคน แล้วตอนนี้คือช่วงที่รู้สึกว่าตัวเอง “กำลังอยู่ในจุดพีค” ของเส้นทางค้าแข้งอย่างแท้จริง ทั้งฟอร์มส่วนตัว ตัวเลขการทำประตู และบทบาทสำคัญในสีเสื้อ บาเยิร์น มิวนิค ที่กำลังไล่ล่าทุกแชมป์ในฤดูกาลนี้

เคนยอมรับว่า สิ่งที่เขาภูมิใจที่สุดไม่ใช่ซีซั่นใดซีซั่นหนึ่งที่ระเบิดฟอร์ม แต่มันคือการยืนระยะในระดับสูงยาวนานกว่าทศวรรษ เหมือนบรรดายอดนักกีฬาในหลายชนิดกีฬาที่ไม่ได้เก่งแค่ 2-3 ปี แต่รักษามาตรฐานได้ 5–15 ปีติดกัน และสำหรับฤดูกาลล่าสุด เขายังบอกเองว่านี่คือ “การออกสตาร์ทซีซั่นที่ดีที่สุด” ในอาชีพกว่า 12 ปีของเขาด้วย

คริสต์มาสในบ้านเคน: งานหลักคือ “เป็นพ่อบ้านที่สร้างรอยยิ้ม”

แม้ฟุตบอลยุโรปช่วงปลายปีจะเตะถี่แทบไม่มีพัก แต่ในบ้านของเคน ช่วงคริสต์มาสยังเป็นเวลาที่เขาพยายามจะ “เป็นพ่อที่ดีที่สุด” ให้ลูก ๆ มากที่สุดเท่าที่โปรแกรมแข่งจะอนุญาต

เขาบอกว่า หน้าที่ในเทศกาลนี้คือ “เอาความสนุกเข้าบ้าน” แม้ตัวเองจะยุ่งกับเกมต่อเนื่อง แต่ก็จะหาเวลาพาครอบครัวไปพักผ่อนทุกปี เพื่อรีเซ็ตทั้งหัวและใจ สำหรับปีนี้ต้องจัดกิจกรรมให้เข้ากับลูกทั้งสี่คน – ลูกสาวสองคน ลูกชายสองคน – เรียกได้ว่าเป็นคริสต์มาสที่มีทั้งของเล่น และลูกบอลเต็มบ้านตามสไตล์บ้านนักฟุตบอล

บอลแฮตทริกยังไม่พอ ลูกชายขอ “ลูกบอลแชมเปียนส์ลีก” เท่านั้น

ก่อนหน้านี้ เคนเคยให้ลูก ๆ เอา ลูกบอลแฮตทริก ไปเล่นถือเป็นของที่ระลึกสุดพิเศษในบ้าน แต่ตอนนี้ระดับความคาดหวังในครอบครัวก็สูงไม่แพ้ในสนาม ลูกชายถึงขั้นบอกว่า “อยากได้ลูกบอลที่มีดาว” หรือก็คือบอล ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เท่านั้น

เคนเล่าว่า ทุกครั้งที่มีลูกบอลกลับถึงบ้าน เด็ก ๆ จะตื่นเต้นกันเต็มที่ วิ่งเตะกันทั่ว แต่ก็ไม่ถือว่าเป็น “ของขวัญคริสต์มาสจริง ๆ” อีกต่อไป เพราะลูก ๆ เริ่มรู้แล้วว่าพ่อสามารถเอาบอลกลับบ้านได้ “เรื่อย ๆ” ถ้ายิงได้

เลนนาร์ต คาร์ล: ดาวรุ่งที่ปลดล็อกเกมรับแน่นให้บาเยิร์น

เมื่อพูดถึงปัจจัยสำคัญในเกมบุกของ บาเยิร์น มิวนิค ฤดูกาลนี้ เคนให้เครดิตใหญ่กับดาวรุ่งวัย 17 ปีอย่าง เลนนาร์ต คาร์ล หรือ “เลนนี่” ที่เข้ามาช่วยเปลี่ยนมิติในแนวรุก

เขาชี้ชัดว่า จุดเด่นของเลนนี่คือการเล่นในพื้นที่แคบ การเลี้ยงกินตัว และการดึงแนวรับคู่แข่งให้เสียสมดุล ซึ่งสำคัญมากเวลาเจอทีมที่ตั้งรับลึก เล่นระบบ 5-4-1 หรือถอยบล็อกต่ำแน่น ๆ เลนนี่สามารถดึงกองหลังออกจากตำแหน่ง เปิดพื้นที่ให้คนอื่นจบสกอร์ หรือจบเองก็ได้ลักษณะคล้าย ๆ กับ จามาล มูเซียลา

นอกเหนือจากเกมรุก เลนนี่ยังได้คำชมเรื่องวินัยเกมรับและความทุ่มเท เคนบอกว่า ภายใต้โค้ชอย่างวินเซนต์ company “ไม่มีใครกล้าซี้ซั้วเดินเล่นในสนาม” และเด็กวัย 17 ปีรายนี้ก็ซึมซับมาตรฐานดังกล่าวเต็ม ๆ

รุ่นพี่ตัวจริงให้มุมมองถึงดาวรุ่ง: เส้นทางไม่ได้มีแค่ขาขึ้น

แม้จะยังไม่ได้มีการพูดคุยแบบนั่งจริงจัง แต่เคนมั่นใจว่า เลนนี่กำลัง “เรียนรู้จากการมอง” บรรดารุ่นใหญ่ในทีม ทั้งเขาเอง, โยชัว คิมมิช และ มานูเอล นอยเออร์

เขาย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับดาวรุ่งคือ “ยอมรับให้ได้ว่าฟุตบอลมีทั้งวันดีและวันเลวร้าย” วันนี้ฟอร์มหรู ยิงได้ แอสซิสต์ได้ แต่วันหนึ่งอาจมีช่วงฟอร์มหล่น และเสียงวิจารณ์จะดังขึ้นทันที ถ้าไม่ระวังอาจหลงไปกับเสียงภายนอกได้ง่าย

เคนบอกว่า เหตุผลที่เลนนี่มายืนอยู่จุดนี้ได้ เพราะแนวทางการทำงาน, การซ้อม และวินัยของตัวเอง ดังนั้นห้ามลืม “พื้นฐาน” ที่พาเขาขึ้นมา และต้องใช้ช่วงเวลาแจ้งเกิดนี้ปั้นตัวเองให้แข็งแรงทั้งฝีเท้าและสภาพจิตใจ

ศิลปะการยิงประตู และคำว่า “เวิลด์คลาส” ในมุมมองของเคน

เคนยอมรับแบบตรง ๆ ว่า “การยิงประตูคือสิ่งที่ยากที่สุดในฟุตบอล” เพราะเป็นจังหวะที่เปลี่ยนผลการแข่งขันได้ในเสี้ยววินาที และเป็นเหตุผลว่าทำไมกองหน้าท็อประดับโลกถึงมีมูลค่ามหาศาล

แต่สำหรับเขา คำว่า “ระดับท็อป” ไม่ได้มาจากการยิงกระจายแค่ 2–3 ซีซั่น แต่ต้องทำได้ต่อเนื่องยาว 5–10 ปีขึ้นไปในทุกสโมสร ทุกรูปแบบทีมที่เล่นด้วย เขามองย้อนกลับไปที่ตัวเลขของตัวเองแล้วภูมิใจที่ทำได้ต่อเนื่อง และยังรู้สึกว่า “ยังไม่จบ แถมยังอยากกดให้หนักกว่านี้อีก”

ไม่หลงกับตัวเลข แต่ใช้เป็นเป้าหมายย่อยเพื่อพัฒนาฟอร์ม

เคนบอกว่า ตัวเอง “รู้สถิติคร่าว ๆ” ของแต่ละปี แต่ไม่หมกมุ่นถึงขั้นนั่งเช็กทุกนัด เขามักตั้งเป้าหมายย่อย ๆ ในหัว เช่น จำนวนประตูในช่วง 5–10 เกม แล้วโฟกัสไปทีละช่วง เพื่อไม่ให้กดดันเกินไป

เขายังยอมรับว่า มีบางช่วงที่ “เล่นไม่ดีแต่ยังยิงได้” ซึ่งรู้ดีว่าแบบนั้นอยู่ไม่ได้ตลอด และก็มีบางเกมที่เล่นดีมากแต่ยิงไม่ได้ จึงต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองหงุดหงิดกับผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว สุดท้ายเขาดูภาพรวมเสมอว่า ตัวเองมีอิทธิพลต่อทีมมากแค่ไหนในแง่ฟอร์มการเล่น ไม่ใช่แค่จำนวนประตู

โค้ช 3 คนที่ปั้นเคนให้กลายเป็นตัวท็อประดับโลก

เมื่อถูกถามว่าใครมีอิทธิพลต่ออาชีพมากที่สุด เคนเลือกไม่ได้เพียงคนเดียว แต่ยกชื่อสำคัญขึ้นมาหลายคน

  • จอห์น แม็คเดอร์ม็อตต์ – หัวหน้าอะคาเดมีสเปอร์สในตอนนั้น ที่ดูแลเขาตั้งแต่อายุประมาณ 13 ปี ไปจนถึงทีมเยาวชน และปูพื้นฐานทั้งหมดทั้งเรื่องเทคนิคและทัศนคติ
  • ทิม เชอร์วูด – คนที่กล้าให้โอกาสเคนลงเล่น พรีเมียร์ลีก ครั้งแรก และเชื่อมั่นในตัวเขามาตั้งแต่ทีมสำรองจนถึงชุดใหญ่
  • เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ – ผู้จัดการทีมที่ทำให้เคน “ยกระดับ” อีกขั้น ทั้งด้านสภาพร่างกาย ความเข้าใจเกม และมาตรฐานของการเป็นนักเตะตัวหลักในลีกที่โหดที่สุดลีกหนึ่งของโลก

เขายอมรับว่าถ้าไล่ชื่อจริง ๆ คงได้อีกยาว แต่สามคนนี้คือหมุดสำคัญที่เปลี่ยนเขาจากดาวรุ่งธรรมดา ให้กลายเป็นหนึ่งในกองหน้าดีสุดของยุคนี้

อายุ 32 แต่รู้สึกเหมือนเพิ่งเริ่มพีค – ฝัน NFL ยังเก็บไว้ก่อน

แม้อายุ 32 แล้ว แต่เคนยืนยันว่าตัวเองยังวิ่งได้เท่าเดิม หรือมากกว่าเดิมด้วยซ้ำจากข้อมูลการวิ่งที่สโมสรเก็บไว้ เขารู้สึกว่าร่างกายยังตอบสนองดี และเห็นอนาคตของตัวเองในเกมระดับสูงอีกหลายปี

เขายอมรับว่ามีคนพูดถึงความฝันไปเล่น NFL ในอนาคต แต่เจ้าตัวย้ำว่ามันคือเรื่อง “อีกหลายปีข้างหน้า” และตอนนี้ทุกอย่างยังโฟกัสอยู่ที่ฟุตบอลระดับสโมสรและทีมชาติเท่านั้น

บทเรียนจากแชมเปียนส์ลีก และเป้าหมายกับบาเยิร์นปีนี้

ในมุมมองของเคน ฤดูกาลก่อนใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ให้บทเรียนสำคัญกับ บาเยิร์น มิวนิค โดยเฉพาะเรื่องการจบอันดับในลีกเฟส เขามองว่าการไม่ติดท็อป 8 ทำให้ทีมต้องเล่นแมตช์เพิ่มในช่วงเวลาสั้น ๆ จนส่งผลต่อสภาพทีมรวม ๆ

เขายกตัวอย่างการพบ เลเวอร์คูเซ่น, ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และอินเตอร์ ที่แม้บางเกมฟอร์มดีมาก แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นใจ ทำให้ทั้งทีมเข้าใจว่า “ในถ้วยยุโรป คุณต้องเฉียบทั้งฟอร์มและโอกาส” เพราะความผิดพลาดนิดเดียวอาจจบเส้นทางได้ทันที

แพ้แล้วต้องแก้: ใช้เกมใหญ่เป็นห้องเรียนกลางสนาม

เคนบอกว่า ทุกครั้งที่ทีมแพ้ โดยเฉพาะเกมใหญ่อย่างการเจอ เลเวอร์คูเซ่น, เปแอสเช หรือ อาร์เซน่อล สิ่งที่ตามมาทันทีคือ “การวิเคราะห์ที่ลึกขึ้น” ทั้งเรื่องแท็กติก รายละเอียดเล็ก ๆ ในเกม และมาตรฐานของตัวนักเตะเอง

เขายกเครดิตให้โค้ชในปัจจุบันว่ามีบทบาทสำคัญในการ “ผ่าฟิล์ม” แล้วดึงข้อดีข้อเสียออกมาให้ทีมเห็นชัด เมื่อเข้าใจแล้วว่าจะเจอคู่แข่งระดับท็อปอีกแน่ ๆ ในรอบลึกถ้วยยุโรป ทุกคนจึงต้องมั่นใจว่าเกมหน้าต้องออกมาต่างจากเดิม

ทีมชาติอังกฤษ: เป้าหมายเหลือแค่ “ต้องได้แชมป์”

ในนาม ทีมชาติอังกฤษ เคนยอมรับว่า ณ จุดนี้ ผลงานแบบ “ทำได้ดีแต่ไม่ได้แชมป์” ไม่เพียงพออีกต่อไป ทั้งต่อตัวนักเตะเองและต่อความรู้สึกของประเทศ

จากเส้นทางตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2018 (เข้ารอบรอง), ยูโร (เข้าชิง), ฟุตบอลโลกครั้งล่าสุด (เข้ารอบลึก) อังกฤษพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาคือหนึ่งในทีมระดับแนวหน้าของโลก แต่ในการลุยฟุตบอลโลก 2026 สิ่งที่ทุกคนต้องการมีเพียงอย่างเดียวคือ “ถ้วยแชมป์”

อังกฤษตอนนี้อยู่อันดับต้น ๆ ของโลก มีคุณภาพนักเตะครบทุกตำแหน่ง ความคาดหวังจากแฟนบอลและสื่อจึงสูงลิ่ว แต่เคนมองว่านี่คือแรงกดดันที่ทีมต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมันให้ได้

ปลอกแขนกัปตันสิงโตคำราม: ความฝันสูงสุดที่เป็นจริงตั้งแต่อายุ 24

เคนเล่าย้อนว่า เขากับภรรยาคุยกันบ่อยว่ารู้สึก “แก่” เมื่อมองย้อนดูตัวเองตอนวัย 24 เพราะตอนนั้นทั้งได้เป็น กัปตันทีมชาติอังกฤษ และมีลูกคนแรกแล้ว ทั้งที่เพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคนเพิ่งเริ่มสร้างครอบครัวในวัยนี้

เขาย้ำว่า ตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเอง “เด็กขนาดไหน” แต่ก็ต้องแบกคำว่ากัปตันชาติทั้งประเทศเอาไว้บนบ่า ซึ่งมันคือความฝันสูงสุดของเขาตั้งแต่เด็กที่เป็นแฟนทีมชาติอังกฤษแบบสุดตัว มากกว่าการเชียร์สโมสรใดสโมสรหนึ่งเสียอีก

ทุกวันนี้เขายังรู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่ได้สวมปลอกแขน นำทีมเดินลงสนาม และไม่เคยมองว่าหน้าที่นี้เป็นเรื่องธรรมดาเลย

บุนเดสลีกาและแฟนบอลเยอรมัน เปลี่ยนมุมมองต่อลูกหนัง

การย้ายจากพรีเมียร์ลีกมา บุนเดสลีกา ทำให้เคนเปิดโลกฟุตบอลมากขึ้น เขายอมรับว่า เมื่อติดอยู่ในลีกเดียวมานาน ๆ คนเรามักเผลอคิดว่า “ที่นี่คือทุกอย่างของฟุตบอล” แต่การมาเยอรมนีทำให้เขาเห็นอีกแบบหนึ่ง

สิ่งที่เขาประทับใจมากที่สุดคือบรรยากาศในสนาม แฟนบอลเยอรมันทั้งเหย้า-เยือนส่งเสียงดังและมีสีสันแทบทุกนัด ทุกสังเวียนเต็มไปด้วยเอนเนอร์จีและบรรยากาศแบบฟุตบอลขนานแท้ จนเขารู้สึกว่า “ไม่มีเกมไหนน่าเบื่อ” เพราะเสียงเชียร์ไม่มีวันเงียบ

บาเยิร์นยุคใหม่: ทีมที่กดสปีดสูงขึ้นทั้งระบบ

เคนมองว่าฤดูกาลนี้ ทุกอย่างในทีม บาเยิร์น มิวนิค ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้นหลังผ่านช่วงปรับตัวในปีแรกของกุนซือคนปัจจุบัน

จากการคว้าแชมป์ลีก, ฟอร์มในถ้วยสโมสรโลก, การซิวแชมป์ซูเปอร์คัพ และการเอาชนะคู่แข่งอย่างไลป์ซิกตั้งแต่เปิดซีซั่น ทำให้ทั้งทีมรู้สึกเหมือน “ติดเครื่องแล้วหยุดไม่อยู่” ช่วงหนึ่งของฤดูกาล ทุกคนเข้าใจบทบาทตัวเองมากขึ้น รู้ว่าต้องวิ่งตรงไหน เพรสยังไง ทำให้เกมบุกและเกมรับมีจังหวะที่กลมกล่อมขึ้นเรื่อย ๆ

แม้จะมีเกมสะดุดอย่างนัดเจออาร์เซน่อล แต่เคนเชื่อว่า ทีมเรียนรู้จากเกมเหล่านี้และใช้มันเป็นเชื้อเพลิงในการกลับมาเล่นให้ดีกว่าเดิม

บทบาท “กองหน้าไฮบริด” ในระบบของบาเยิร์น

แม้จะสวมเสื้อเบอร์กองหน้า แต่เคนยอมรับว่า บทบาทของเขาไม่ได้เป็นทั้ง หน้าเป้าคลาสสิก หรือ ฟอลส์ไนน์ แบบเป๊ะ ๆ หากแต่กลายเป็นตำแหน่งกึ่ง ๆ ระหว่างสองอย่าง ซึ่งขึ้นกับระบบที่โค้ชวางและการขยับของตัวรุกคนอื่นในทีม

บางแมตช์เราจะเห็นเขาถอยลงมาลึกเกือบยืนระดับมิดฟิลด์ตัวต่ำ หรือแม้แต่ช่วยถอยลงมาปิดช่องแถว ๆ เซ็นเตอร์แบ็กในจังหวะเกมรับ แต่ในโครงสร้างเกมรุก เขาก็ยังได้รับอิสระให้ลงมาล้วงบอล เปิดเกม และสลับเข้าไปจบสกอร์หน้าประตูเหมือนเดิม

เขาย้ำว่ากำลัง “สนุกมาก” กับบทบาทนี้ เพราะรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนในทุกเฟสของเกม ตั้งแต่การเพรสสิงสูง, การคุมจังหวะกลางสนาม ไปจนถึงการจบสกอร์ในกรอบเขตโทษ

เกล็ดความรู้สรุปเกี่ยวกับแฮร์รี่ เคนและเส้นทางปัจจุบัน

  1. เคนมองว่าตัวเองยังอยู่ในพีค และตั้งใจเล่นในระดับสูงต่อไปอีกหลายปี
  2. ครอบครัวและลูก ๆ คือแรงผลักดันสำคัญ ทั้งในเรื่องความสุขนอกสนาม และแรงกดดันแบบขำ ๆ เรื่อง “ลูกบอลแชมป์”
  3. เขาให้เครดิตเลนนาร์ต คาร์ล และดาวรุ่งในทีม ว่าเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการเจาะเกมรับลึกของคู่แข่ง
  4. การยืนระยะยิงประตูหลายฤดูกาลติด คือสิ่งที่เขาใช้ยืนยันคำว่า “ระดับท็อป”
  5. เส้นทางทีมชาติอังกฤษของเขามาถึงจุดที่ “ต้องได้แชมป์รายการใหญ่” เท่านั้นถึงจะตอบโจทย์ทั้งทีมและประเทศ
  6. การย้ายมาบุนเดสลีกาทำให้เขาเห็นโลกฟุตบอลกว้างขึ้น ทั้งเรื่องสไตล์การเล่นและพลังแฟนบอล
  7. บทบาทในสนามที่ผสมระหว่างกองหน้า-เพลย์เมคเกอร์-ตัวช่วยเกมรับ ทำให้เคนกลายเป็นหัวใจแท้จริงในระบบของบาเยิร์น

แฟนบอลที่อยากตามทุกจังหวะของโลกฟุตบอล เรื่องลึกในสนาม และเบื้องหลังชีวิตแข้งดัง อย่าลืมติดตามความเคลื่อนไหวมันส์ ๆ ได้ที่ ฟุตบอลต่างประเทศ GOALSIAM