Flick กับบาร์ซ่า: โค้ชสายกล้า “ลองแล้วค่อยว่ากัน”

ถ้าจะหาคำเดียวมาอธิบายแนวทางทำทีมของ Hansi Flick ที่บาร์เซโลน่า คำตอบคือ “กล้า” แบบไม่ต้องคิดเยอะ เขาพร้อมสั่งแผงหลังดันสูงไปยืนเกือบครึ่งสนามเพื่อบีบคู่แข่ง พร้อมทดลองขยับนักเตะไปเล่นบทบาทใหม่ๆ เพื่อหาทางเลือกให้ทีมมากที่สุด
แน่นอนว่ามันมีความเสี่ยง—ถ้าไม่เวิร์กก็กลับไปเริ่มใหม่ แต่ถ้ามันติด…ทีมได้อาวุธเพิ่มทันที และนี่แหละที่ทำให้บาร์ซ่าภายใต้ Flick ไม่เคยน่าเบื่อ

“มาร์ก กาซาโด” เริ่มเสี่ยงหลุดวงโคจรในแดนกลาง

หนึ่งในคนที่เริ่มเจอคำถามหนักขึ้นเรื่อยๆ คือ Marc Casado มิดฟิลด์วัย 22 ปี ที่ซีซั่น 2024/25 ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่พอเข้า 2025/26 ภาพมันเริ่มชัดว่า “ตำแหน่งในทีมชุดใหญ่ไม่การันตี”
เหตุผลก็ตรงไปตรงมา เพราะสองจากสามตำแหน่งในแดนกลางมักถูกจับจองโดย Frenkie de Jong กับ Pedri แทบจะเป็นประจำ (ถ้าไม่เจ็บจริงๆ) นั่นเท่ากับว่า กาซาโดต้องไปแย่งอีกหนึ่งที่ว่างกับชื่อที่พร้อมสู้ทุกคน ไม่ว่าจะ Eric Garcia, Fermin Lopez, Marc Bernal, Gavi, Dani Olmo หรือแม้แต่ Dro Fernandez
ยิ่ง Flick จะเลือกใช้กองกลางแบบไหนก็ยิ่งทำให้การแข่งขันเดือดขึ้นไปอีก—จะเอาสายรับคุมจังหวะ หรือสายบุกเพิ่มความอันตราย ทุกเกมคือการสอบคัดเลือกแบบไร้ปรานี

จุดเปลี่ยนในโกปา เดล เรย์: ถูกดันไปเล่นแบ็กขวาแล้ว “ไม่แย่เลย”

ในเกมโกปา เดล เรย์ที่บาร์ซ่าเอาชนะกวาดาลาฮาร่า กาซาโดถูกจับไปยืนแบ็กขวา และเขาทำได้ “มีทรง” แบบที่คนดูต้องหยุดคิด เพราะตำแหน่งนี้ไม่ใช่ของใหม่สำหรับเขา—สมัยอยู่ Barca B เขาเคยเล่นบทบาทนี้มาก่อน และรู้ว่าต้องยืนยังไง เวลาไหนต้องเติม เวลาไหนต้องคุมพื้นที่
การตัดสินใจของ Flick ครั้งนี้จึงเหมือนส่งสัญญาณว่า “ฉันไม่อยากให้แกเป็นแค่ตัวประกอบ” และถ้ากาซาโดยึดตำแหน่งนี้ได้จริง บาร์ซ่าจะได้ตัวหมุนเวียนที่มีคุณค่าแบบทันที

สูตรคล้าย “เซร์กี โรเบร์โต้”: เปลี่ยนบทบาทเพื่อยืดอายุในทีม

โมเดลนี้ทำให้นึกถึงการรีบิลด์บทบาทของ Sergi Roberto ในอดีต—นักเตะที่ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวท็อปทุกคุณสมบัติ แต่มีความเข้าใจเกมและยืดหยุ่นพอจะอยู่ในทีมใหญ่ได้
หากกาซาโดไปได้สวยในตำแหน่งแบ็กขวา Flick จะได้ “ลูกมือที่ไว้ใจได้” เพิ่มหนึ่งคน แถมยังช่วยเรื่องการหมุนเวียน Jules Kounde ได้ด้วย เพราะฤดูกาลยาวๆ ไม่มีใครแบกไหวทุกนัด

ข้อดีชัด: ขยัน ดุดัน เล่นเพื่อทีม และพร้อมวิ่งจนหมดปอด

จุดเด่นของกาซาโดคือความขยันและความดุดันในเชิงแท็กติก เขาเป็นนักเตะประเภท “สั่งอะไรทำ” และมักทุ่มเทเกิน 100% แบบที่โค้ชสายระบบชอบมาก
แน่นอนว่าเขายังไม่ใช่แบ็กขวาสายเติมโหดแบบกุนเด้ ยังไม่ได้มีความสามารถในการลากขึ้นสุดเส้นแล้วสร้างอันตรายได้เท่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรียนรู้ไม่ได้ ยิ่งได้ลงเล่นมากขึ้น ประสบการณ์จะค่อยๆ ขัดเกลาให้เขาอ่านเกมริมเส้นได้เฉียบขึ้น เติม-ถอยได้สมดุลขึ้น และกลายเป็นตัวเลือกที่ทีม “หยิบใช้ได้จริง” ในเกมระดับสูง

เกมรับบางจุด…กุนเด้อาจต้องมองกาซาโดเป็นตัวอย่าง

ที่น่าสนใจคือบางมุมของการเล่นเกมรับ กาซาโดมีความมุ่งมั่นและความแน่นในจังหวะปะทะที่พอจะทำให้แฟนๆ คิดได้เหมือนกันว่า กุนเด้เองก็มีช่วงที่ฟอร์มแกว่งในฤดูกาลนี้
การมีตัวเลือกที่เน้นวินัยเกมรับและพร้อมวิ่งไล่แบบไม่หมดแรง อาจช่วยให้ระบบของ Flick “นิ่ง” ขึ้นในบางเกม โดยเฉพาะเมื่อทีมต้องคุมผลหรือรับมือเกมที่คู่แข่งโจมตีริมเส้นหนักๆ

ครึ่งซีซั่นหลังคือเวทีพิสูจน์: กาซาโดจะได้เกิดเหมือน Eric Garcia กับ Gerard Martin ไหม?

ครึ่งหลังของฤดูกาลคือช่วงที่ทุกอย่างตัดสินกันจริง และมันคือโอกาสทองของกาซาโดที่จะพิสูจน์ว่าเขามีค่ามากกว่า “ตัวหมุนเวียน”
ก่อนหน้านี้เราเห็นตัวอย่างมาแล้วว่า Eric Garcia และ Gerard Martin พลิกสถานการณ์ในทีมได้จากการขยับตำแหน่ง พอถูกใช้ถูกทาง ทุกอย่างก็เปลี่ยน
กาซาโดอาจเป็นชื่อถัดไปที่ได้ประโยชน์จากการ “ปรับหมาก” ของ Flick หากเขาคว้าโอกาสนี้ไว้ได้อยู่หมัด

เกล็ดความรู้

  • ระบบโค้ชที่กล้าสลับตำแหน่งนักเตะ มักช่วยเพิ่ม “ความลึกของขุมกำลัง” และลดปัญหานักเตะหลุดแผน
  • นักเตะที่เล่นได้หลายตำแหน่ง มักมีโอกาสลงสนามมากขึ้นในฤดูกาลที่โปรแกรมถี่
  • การปรับจากกองกลางไปเป็นแบ็ก จะท้าทายเรื่องการยืนตำแหน่งและการอ่านเกมริมเส้น แต่ถ้าปรับตัวได้จะเพิ่มมูลค่าให้ตัวเองทันที

ใครที่อยากตามทุกความเคลื่อนไหวของบาร์เซโลน่า รวมถึงอัปเดตประเด็นแท็กติกและการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นแบบถึงอารมณ์ อย่าลืมติดตาม ฟุตบอลต่างประเทศ GOALSIAM ไว้ให้ดี รับรองมีเรื่องมันส์ให้เกาะติดทุกวัน