ดราม่าปิดท้ายเกม แบงค็อก บุกพ่ายอยุธยา 1-3

ไฟยังไม่มอดจากเกมที่ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด บุกแพ้ อยุธยา ยูไนเต็ด 1-3 ในศึก บีวายดี ซีไลออน ซิกส์ ลีกหนึ่ง นัดที่ 15 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา เพราะหลังเสียงนกหวีดสิ้นสุด เกมในสนามจบ แต่ดราม่าเรื่อง ผู้ตัดสิน เพิ่งเริ่มต้น สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย หรือที่คอลูกหนังเรียกติดปากว่า ส.บอลฯ ออกแถลงการณ์จัดหนัก สั่งแบน “วิวรรธน์ จำปาอ่อน” ผู้ตัดสินในเกมนี้ หลังตัดสินผิดพลาดในจังหวะประตูของ เอเวอร์ตัน กอนคัลเวส ซึ่งถูก VAR เรียกดูแล้ว “ริบคืน”

จังหวะท้ายเกมนาที 90+2 ที่ควรจะเป็นโอกาสให้ทรู แบงค็อก กลับเข้ามาสู่เกม กลับกลายเป็นชนวนถกเถียงสนั่นโซเชียล และนำไปสู่การพิจารณาลงโทษแบบเป็นทางการในเวลาต่อมา

ผ่าจังหวะปัญหา นาที 90+2: จากลุ้นไล่สู่ฝันสลาย

เหตุการณ์สำคัญมาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ นาทีที่ 90+2 เมื่อ เอเวอร์ตัน กอนคัลเวส ของทรู แบงค็อก พยายามวิ่งทำทางในเขตโทษ ก่อนถูก พันธกานต์ เกษมกุลวิไล แนวรับอยุธยา ยูไนเต็ด ใช้แขนโอบรัด ดึง กอด จนทั้งคู่ล้มลงไปกับพื้น

แม้จะเสียหลักล้มลง แต่เอเวอร์ตันไม่ยอมยกธงขาว เขาพยายามยันมือกับพื้น หมุนตัวลุกขึ้นมาวิ่งต่อ และตามไปยิงส่งบอลเข้าประตูได้สำเร็จ ลูกนี้ทั้งเพื่อนร่วมทีมและแฟนบอลต่างดีดตัวเฮกันลั่น เพราะคิดว่าน่าจะเป็นประตูสำคัญไล่มาแบบมีลุ้นช่วงท้าย

แต่สุดท้าย VAR เรียกผู้ตัดสินให้ออกไปดูจอมอนิเตอร์ (On-Field Review) และหลังตรวจสอบภาพช้า ผู้ตัดสินกลับตัดสินใจ “ไม่ให้ประตู” พร้อมแจกใบเหลืองให้เอเวอร์ตัน โดยมองว่ากองหน้าบราซิเลียนเป็นฝ่ายทำฟาวล์จากจังหวะสะบัดมือไปโดนใบหน้าของพันธกานต์

จากจังหวะที่แฟนบอลมองว่า “ฟาวล์รับ” และน่าจะเป็นประตู กลับกลายเป็นฟาวล์รุกและไม่มีสกอร์เพิ่ม ทำให้เกมจบลงด้วยชัยชนะของอยุธยา 3-1 พร้อมคำถามใหญ่เรื่องมาตรฐานการตัดสินในลีกไทย

ผลพิจารณา ส.บอลฯ: แบนวิวรรธน์ 6 สัปดาห์ เซ่นการมองจังหวะผิดมุม

ฝ่ายพิจารณาของ สมาคมฟุตบอลฯ ออกบทสรุปชัดเจนว่า การตัดสินของ วิวรรธน์ จำปาอ่อน ในจังหวะนี้ “ไม่ถูกต้องตามกติกา” และมีการอธิบายละเอียดว่า ผู้ตัดสินพิจารณาเพียงจังหวะสุดท้าย คือการสะบัดมือของเอเวอร์ตัน ที่ไปโดนบริเวณใบหน้าส่วนปากของพันธกานต์ แต่ ละเลยการพิจารณาการดึง โอบ กอด รัด ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ซึ่งเป็นการแย่งชิงบอลโดยผิดกติกาของฝ่ายรับ

ตามหลักการแล้ว เมื่อนักเตะทั้งสองล้มลง ผู้เล่นฝ่ายรุกที่อยู่ด้านล่าง มีสิทธิใช้แขนและมือค้ำยันเพื่อหมุนตัวลุกขึ้นไปเล่นบอลต่อ การเหวี่ยงแขนที่เกิดขึ้นตามแรงของการหมุนตัว ถือเป็น “การเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ” ไม่ใช่การเจตนาทำร้ายคู่ต่อสู้ การให้ฟาวล์เอเวอร์ตันและไม่ให้ประตู จึงถูกชี้ชัดว่า ผิดหลักกติกา

บทลงโทษที่ออกมา คือ พักการปฏิบัติหน้าที่ผู้ตัดสิน 6 สัปดาห์ พร้อมย้ำว่าการพลาดครั้งนี้เกิดจากการประเมินภาพรวมเหตุการณ์ไม่รอบด้าน มองแค่ปลายเหตุ แต่ไม่ไล่จากต้นเหตุที่แท้จริงของการฟาวล์ในกรอบเขตโทษ

VAR ทำถูก แต่เป่าจริงผิด – เส้นแบ่งบาง ๆ ของเทคโนโลยีและคน

ในรายของ นายนที ชูสุวรรณ ผู้ตัดสินวีดิทัศน์ (VAR) คณะพิจารณายืนยันว่า “ทำหน้าที่ถูกต้อง” ตามโปรโตคอล เนื่องจาก VAR ตรวจสอบแล้วพบว่าจังหวะดังกล่าวเข้าข่ายเหตุการณ์ที่ต้องทบทวนในกรณี “ได้ประตูหรือไม่เป็นประตู” จึงส่งสัญญาณเรียกผู้ตัดสินลงไปดูภาพซ้ำข้างสนามอย่างถูกขั้นตอน

ตามหลักการของ VAR การตัดสินใจครั้งสุดท้ายยังคงอยู่ที่ผู้ตัดสินในสนาม VAR แค่ “ชี้ภาพและมุมมองเพิ่ม” แต่ไม่ใช่คนฟันธง ทีมงานจึงชี้ชัดว่า VAR ทำงานถูกทาง แต่ปัญหาอยู่ที่การตัดสินของกรรมการหลักที่ ตีความผิด

จุดนี้สะท้อนชัดว่า ต่อให้มีเทคโนโลยีทันสมัยแค่ไหน ฟุตบอลก็ยังผูกอยู่กับการตัดสินใจของ “คน” และถ้าคนมองผิด มันก็พร้อมจะกลายเป็นดราม่าที่ส่งผลทั้งผลการแข่งขัน กระแสแฟนบอล และความรู้สึกของสโมสร

ใบเหลืองเอเวอร์ตันเพิกถอนไม่ได้ แม้ตัดสินผิด

อีกหนึ่งประเด็นที่แฟนบอลตั้งคำถาม คือใบเหลืองของ เอเวอร์ตัน กอนคัลเวส ที่มาจากการตัดสินที่ภายหลังถูกชี้ว่าผิดกติกา หลายคนคาดหวังว่าจะมีการล้างโทษย้อนหลัง แต่คำตอบจากฝ่ายกติกากลับชัดเจนว่า ไม่สามารถเพิกถอนใบเหลืองได้

ตามข้อบังคับปัจจุบัน การยกเลิกใบเหลืองทำได้ “เฉพาะกรณีให้ผิดคนเท่านั้น” นั่นหมายความว่า ถึงแม้การตัดสินจะผิดไปจากกติกา แต่ในเมื่อใบเหลืองออกให้กับผู้เล่นที่เกี่ยวข้องถูกต้องตามตัวบุคคลอยู่แล้ว ก็ไม่มีช่องในระเบียบที่เปิดให้เพิกถอนย้อนหลังได้

เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้แฟนบอลรู้สึกทั้งหงุดหงิดและเสียดาย เพราะในเชิงภาพรวม นอกจากประตูจะถูกริบแล้ว นักเตะยังต้อง “ติดใบเหลือง” จากจังหวะที่ถูกชี้ว่าจริงๆ แล้วไม่ผิดกติกาอีกด้วย

สรุป: เกมแพ้ยังพอทำใจ แต่มาตรฐานผู้ตัดสินต้องยกระดับจริงจัง

สำหรับเกมที่ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด บุกแพ้ อยุธยา ยูไนเต็ด 1-3 นั้น ในมุมหนึ่งแฟนบอลอาจยอมรับได้ว่า “แพ้เพราะฟุตบอล” แต่เมื่อเกิดจังหวะปัญหาแบบท้ายเกม ที่ส่งผลต่อสกอร์และความรู้สึกของทั้งสองทีม การที่ ส.บอลฯ ต้องออกมาแถลงแบนผู้ตัดสิน 6 สัปดาห์ ก็เป็นสัญญาณชัดว่า ลีกไทยกำลังกดดันตัวเองให้จริงจังกับมาตรฐานการตัดสินมากขึ้น

การยอมรับว่ามีการ “เป่าผิด” ต่อหน้าสาธารณะ อาจฟังดูแรง แต่ก็เป็นก้าวสำคัญของระบบ เพื่อให้ผู้ตัดสินระมัดระวังการใช้ VAR และการอ่านเกมในเขตโทษมากขึ้น ขณะเดียวกันแฟนบอลก็เริ่มมองเห็นว่ามีการตรวจสอบและลงโทษจริง ไม่ใช่ปล่อยให้ข้อผิดพลาดผ่านไปเฉย ๆ

สุดท้ายแล้ว ฟุตบอลอาจมีทั้งแพ้ ชนะ เสมอ แต่สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องการเหมือนกันคือ ความยุติธรรมในสนาม และการตัดสินที่ “เที่ยงตรงที่สุดเท่าที่มนุษย์จะทำได้”

เกล็ดความรู้จากกรณีนี้

  • VAR ไม่ได้ “เปลี่ยนคำตัดสินเอง” แต่ทำหน้าที่เสนอภาพและเรียกผู้ตัดสินให้ไปดูเหตุการณ์ เพื่อให้กรรมการในสนามเป็นคนตัดสินใจรอบสุดท้ายเสมอ
  • การดึง โอบ กอด รัด คู่แข่งในเขตโทษ โดยเฉพาะช่วงลูกตั้งเตะและชุลมุนหน้าปากประตู ถือเป็นการทำฟาวล์ตามกติกาฟุตบอลทันที หากผู้ตัดสินมองเห็นและตีความถูก
  • ใบเหลืองในฟุตบอลอาชีพ ส่วนใหญ่เพิกถอนย้อนหลังไม่ได้ ยกเว้นกรณี “ให้ผิดคน” ตามข้อบังคับที่เขียนไว้ชัดเจน ทำให้การเป่าแต่ละครั้งของกรรมการมีน้ำหนักมากในระยะยาว
  • การลงโทษแบนผู้ตัดสิน คือกลไกหนึ่งที่สมาคมฟุตบอลใช้เพื่อรักษามาตรฐานและสร้างความเชื่อมั่นต่อสโมสรและแฟนบอล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ตัดสินคนนั้น “หมดอนาคต” เพราะยังสามารถกลับมาทำหน้าที่ได้หากเรียนรู้จากข้อผิดพลาด

แฟนบอลที่อยากตามทุกจังหวะของโลกฟุตบอล ทั้งข่าวในสนาม ดราม่านอกสนาม และประเด็นร้อนจาก ไทยลีก และลีกดังทั่วโลก อย่าลืมติดตามความเคลื่อนไหวมันส์ๆ ได้ที่ ฟุตบอลไทย GOALSIAM

Categorized in:

ฟุตบอลไทย,