ฉากหลังดราม่าแท็กติกปีศาจแดง
กระแสวิจารณ์เริ่มถาโถมเข้าใส่ รูเบน อโมริม แบบเต็ม ๆ หลังเข้ามารับงานคุมทัพ แมนฯ ยูไนเต็ด พร้อมพยายามยกระดับทีมด้วยรูปแบบการเล่นใหม่ที่เน้นโครงสร้างชัดเจน เน้นเกมรุกดุดัน และการยืนตำแหน่งที่มีวินัย แต่สิ่งที่โดนจับตามองหนักที่สุดกลับกลายเป็น “ระบบการเล่น” ที่เขาใช้เป็นหลัก
แฟนบอลและกูรูจำนวนไม่น้อยมองว่า ผีแดงภายใต้การกุมบังเหียนของอโมริมเหมือนจะ “ล็อก” ตัวเองอยู่กับ ระบบ 3-4-3 มากเกินไป แม้ผลงานจะเริ่มกระเตื้อง ไม่แพ้ใคร 5 นัดติดต่อกันใน พรีเมียร์ลีก แต่ความพ่ายแพ้ล่าสุดต่อ เอฟเวอร์ตัน 0-1 ทั้งที่คู่แข่งเหลือผู้เล่น 10 คนตั้งแต่ช่วง 10 นาทีแรก ทำให้เสียงวิจารณ์ดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะเรื่อง “ความยืดหยุ่นทางแท็กติก”
อโมริมจึงต้องออกมาเคลียร์ชัด ด้วยน้ำเสียงของกุนซือสายแท็กติกที่มั่นใจในแนวทางตัวเอง แต่ก็พร้อมเปิดไพ่ให้เห็นว่า เขาไม่ได้เป็นโค้ชที่ “ยึดติด” กับอะไรตายตัวอย่างที่หลายคนคิด
อโมริมย้ำชัด – ไม่ได้ล็อกตายแค่ระบบ 3-4-3
อโมริมปฏิเสธแบบไม่อ้อมค้อมต่อข้อกล่าวหาที่ว่าตัวเองหมกมุ่นกับระบบเดียว เขายืนยันว่าทีมของเขาสามารถขยับเปลี่ยนไปใช้ 4-4-2 หรือ 4-3-3 ได้ตามบริบทของเกม และตามประเภทคู่แข่งที่เจอในแต่ละนัด

เขาอธิบายว่า ภาพที่หลายคนเห็นว่าแมนฯ ยูไนเต็ดเล่นด้วยโครงสร้างคล้ายเดิมแทบทุกเกม เป็นเพราะเขาต้องการ “รากฐาน” ที่ชัดเจนให้กับทีมก่อน ทั้งในแง่การยืนตำแหน่ง การไล่เพรสซิ่ง และการสร้างสมดุลระหว่างเกมรุกกับเกมรับ เมื่อพื้นฐานเหล่านี้ถูกวางอย่างมั่นคงแล้ว การขยับไปเป็นระบบอื่นจึงไม่ใช่เรื่องยาก
อโมริมย้ำว่า ฟุตบอลสมัยนี้ไม่สามารถมองแท็กติกแค่จากกระดาษ ไม่ใช่ว่าเขียน 3-4-3 แล้วจะเล่นแบบเดิมทั้ง 90 นาที ตรงกันข้าม ระบบสามารถไหลไปมาเป็น 4-4-2, 4-3-3 หรือกลับมา 3-4-3 ได้ในช่วง 5-10 นาทีสุดท้าย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในสนาม รูปเกม และความจำเป็นของทีมในแต่ละช่วงเวลา
ตัวอย่างจากเกมใหญ่ – จากลิเวอร์พูลถึงความพ่ายแพ้ต่อเอฟเวอร์ตัน
อโมริมยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เขาชี้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เคยมีการปรับแผนในเกมใหญ่กับลิเวอร์พูลมาแล้ว ไม่ได้เล่นในแบบเดิมเป๊ะ ๆ และไม่ได้ใช้ไบรอัน เอ็มเบอโม่เป็นตัวทดลองเพียงคนเดียว แต่เคยใช้ มาเตอุส คุนญ่า เป็นจุดหมุนเกมรุกในแบบที่แตกต่างกันไปด้วย
เขาอธิบายว่า สิ่งที่พยายามทำคือการสร้าง “เกมรุกที่ยืดหยุ่น” ผู้เล่นหนึ่งคนอาจเริ่มต้นจากตำแหน่งหนึ่ง แต่ระหว่างเกมสามารถหมุนสลับตำแหน่งกับเพื่อนเพื่อดึงแนวรับคู่แข่งให้หลุดจากโครงสร้างป้องกันเดิม ๆ
แม้เกมล่าสุดที่แพ้เอฟเวอร์ตัน 0-1 จะถูกยกมาเป็นตัวอย่างของการ “ไม่เปลี่ยนแผน” แต่ในมุมของอโมริม เขามองว่าทีมพยายามสร้างโอกาส เพียงแต่การจบสกอร์ยังไม่เฉียบขาดพอ และเมื่อคู่แข่งเล่นลึก บวกกับความกดดันเรื่องผลการแข่งขัน ทำให้ภาพรวมดูอึดอัดจนถูกมองว่าแท็กติกไม่ยืดหยุ่น ทั้งที่จริงแล้วโครงสร้างมีการขยับเปลี่ยนตลอดเกม
แท็กติกยุคใหม่ – ระบบบนกระดาษ vs ระบบจริงในสนาม
หนึ่งในสารสำคัญที่อโมริมต้องการสื่อคือ ฟุตบอลสมัยใหม่ไม่ได้ถูกตีกรอบด้วย “ตัวเลขระบบ” อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นในลีกอังกฤษ ลีกโปรตุเกส หรือลีกใดในยุโรป ทีมระดับท็อปต่างให้ความสำคัญกับ “โครงสร้างการเล่น” มากกว่าตัวเลข 3-4-3 หรือ 4-3-3
เขามองว่า เราอาจจะเริ่มเกมด้วยสิ่งที่เรียกว่า 4-4-2 บนกระดาษ แต่ในช่วงท้ายเกม เมื่อทีมต้องการประตูเพิ่ม หรือจำเป็นต้องปิดเกม ระบบอาจกลายเป็น 4-3-3 หรือเปลี่ยนกลับไปสู่รูปแบบ 3-4-3 เพื่อเพิ่มตัวในแดนกลาง หรืออัดแนวรับให้แน่นขึ้น
อโมริมจึงย้ำว่า ตัวเขาเอง พร้อมทำทุกอย่าง เพื่อให้ทีมมีความได้เปรียบในสนาม ตรงข้ามกับภาพที่หลายคนตีตราว่าเขายึดติดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเกินไป
บทบาทของไบรอัน เอ็มเบอโม่ – หน้าเป้าได้ แต่ริมเส้นคืออาวุธทำลายล้าง
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่กุนซือชาวโปรตุกีสหยิบมาพูดถึงคือบทบาทของ ไบรอัน เอ็มเบอโม่ เขายอมรับตรง ๆ ว่า ทีมคิดไว้แล้วว่า เอ็มเบอโม่สามารถถูกดันไปเล่นตรงกลาง เป็นตัวจบสกอร์ได้ในบางสถานการณ์ เพราะเจ้าตัวมีร่างกายแข็งแกร่ง เล่นบอลหนึ่งต่อหนึ่งได้ดี และขยับหาพื้นที่เก่ง
แต่ในมุมมองของอโมริม เขายังคงเชื่อว่า “ริมเส้น” คือตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเอ็มเบอโม่
เหตุผลคือ
- นักเตะรายนี้ไม่ได้ชอบอยู่ในสปอตไลต์ตลอดเวลา
- เขาทำได้ดีเมื่อได้เล่นจากด้านข้าง สอดขึ้นมาสร้างความวุ่นวาย มากกว่าต้องยืนหันหลังให้คู่แข่งในฐานะกองหน้าตัวเป้า
- ไม่ว่าจะฝั่งขวาหรือซ้าย เอ็มเบอโม่สามารถโจมตีแนวรับคู่แข่งได้มากกว่าในมุมที่เขามองเห็นสนามกว้าง และเลือกเลี้ยงตัดเข้าในหรือเปิดเข้าเขตโทษ
อโมริมย้ำว่าตำแหน่งบนริมเส้นจึงเป็น “เบสไลน์” ที่ดีที่สุดสำหรับเอ็มเบอโม่ แต่ในอนาคต เมื่อทีมต้องการเปลี่ยนมิติการเล่นในช่วงท้ายเกม เขาพร้อมขยับลูกทีมรายนี้เข้ากลาง เพื่อใช้เป็นตัวเปลี่ยนเกมได้เหมือนอย่างที่เคยทำสมัยคุมสปอร์ติ้ง ลิสบอน
มุมมองโค้ชยุคใหม่ – โรเตชัน, ความยืดหยุ่น และการอ่านเกม
นอกจากเรื่องระบบแล้ว อโมริมยังแตะไปถึงภาพใหญ่ของฟุตบอลยุคใหม่ เขามองว่าความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “จะเข้ารอบด้วยการเป็นที่ 1 หรือที่ 2 ของตาราง” เพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องบาลานซ์กับโปรแกรมในลีกและฟุตบอลถ้วย รวมถึงการโรเตชันผู้เล่นเพื่อหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ
เขาย้ำว่า เป้าหมายหลักคือการสร้างทีมที่ยืนระยะได้ทั้งซีซั่น นักเตะต้องรักษาสภาพร่างกายให้พร้อมเสมอ และโค้ชต้องรู้ว่าจะหมุนเวียนใช้ผู้เล่นแบบไหนให้เหมาะสมกับแต่ละเกมมากที่สุด นั่นจึงทำให้บางครั้ง เขาเลือก “ปรับในรายละเอียด” มากกว่าพลิกระบบแบบสุดขั้วเพื่อเอาใจเสียงวิจารณ์
สรุป – อโมริมยังอยู่ในช่วงวางรากฐาน แต่ชัดเจนว่าไม่ใช่โค้ชหัวแข็ง
เมื่อฟังจากปากของอโมริมแบบเต็ม ๆ จะเห็นชัดว่า เขาไม่ได้เป็นโค้ชที่ “หมกมุ่นกับ 3-4-3” อย่างที่โดนกล่าวหา แต่กำลังอยู่ในช่วงวางฐานให้ แมนฯ ยูไนเต็ด มีเอกลักษณ์การเล่นของตัวเอง
- เขาเชื่อในระบบที่ยืดหยุ่น
- เขาเข้าใจดีว่าฟุตบอลยุคนี้ต้องวิ่งหนีความตายตัว
- เขามองผู้เล่นแต่ละคนในมิติมากกว่าตำแหน่งบนกระดาษ
คำถามต่อจากนี้คือ เขาจะสามารถเปลี่ยนแนวคิดเหล่านี้ให้กลายเป็น “ผลงานในสนาม” ที่ชัดเจนกว่านี้ได้เร็วแค่ไหน เพราะสุดท้ายแล้ว แฟนบอลผีแดงไม่ได้อยากได้ยินแค่คำอธิบายเรื่องแท็กติก แต่ต้องการเห็น “ผลลัพธ์” บนตารางคะแนน

เกล็ดความรู้เรื่องระบบการเล่นและแท็กติกสมัยใหม่
- ตัวเลขระบบอย่าง 3-4-3, 4-4-2 หรือ 4-3-3 มักเป็นเพียง “จุดตั้งต้น” ก่อนเริ่มเกม แต่ระหว่างแข่งขัน รูปทรงของทีมจะเปลี่ยนไปตามการขยับตำแหน่งของผู้เล่น
- สโมสรระดับท็อปในยุคนี้เน้น “โครงสร้าง” มากกว่า “เลขระบบ” เช่น การวางไลน์รับ การบีบเพรส และการซ้อนตำแหน่ง มากกว่าจะเถียงกันว่าทีมเล่นหลังสามหรือหลังสี่
- ตัวรุกริมเส้นยุคใหม่แบบเอ็มเบอโม่ มักถูกใช้ทั้งเป็นตัวสร้างสรรค์โอกาส และตัวจบสกอร์ แถมยังสามารถถูกดันเข้ากลางในช่วงท้ายเกม เพื่อเพิ่มความหนาแน่นในกรอบเขตโทษคู่แข่ง
- โค้ชยุคใหม่ต้องมีทั้ง “ปรัชญาการเล่นที่ชัดเจน” และ “ความกล้าปรับ” ไม่ใช่ยึดติดแผนเดียวตลอดซีซั่น เพราะฟุตบอลระดับสูงมีการวิเคราะห์คู่แข่งละเอียดจากวิดีโอและข้อมูลสถิติมากขึ้นเรื่อย ๆ
- ความยืดหยุ่นทางแท็กติกไม่ใช่แค่เรื่องเปลี่ยนระบบ แต่รวมถึงการเลือกใช้ผู้เล่นให้ตรงบทบาท ความถนัด และความมั่นใจ ณ ช่วงเวลานั้นด้วย
ใครอยากเกาะทุกมุมของแท็กติกผีแดง และการปรับตัวของอโมริมในเวทีใหญ่ทั้งอังกฤษและยุโรป อย่าลืมติดตาม พรีเมียร์ลีก GOALSIAMเราจะพาไปเจาะลึกทุกเกม ทุกหมาก และทุกแรงสั่นสะเทือนในโรงละครแห่งความฝันยุคใหม่