ดราม่าเก้าอี้กุนซือไก่เดือยทอง จากปอสเตโคกลูสู่แฟรงค์

แม้จะเพิ่งได้ชูถ้วย ยูโรปา ลีก แบบสุดยิ่งใหญ่ด้วยการเฉือน แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 ในนัดชิง แต่ภาพรวมในลีกกลับกลายเป็นฝันร้าย เมื่อ สเปอร์ส จบฤดูกาลด้วยอันดับ 17 มีเพียง 38 คะแนนในศึก พรีเมียร์ลีก ทำเอาบอร์ดบริหาร โดยเฉพาะ แดเนี่ยล เลวี่ อดีตประธานสโมสร รับไม่ไหว และตัดสินใจปลด แอนจ์ ปอสเตโคกลู พ้นตำแหน่ง แม้จะพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปใบสำคัญก็ตาม

คนที่ถูกเลือกเข้ามากอบกู้สถานการณ์คือ โธมัส แฟรงค์ อดีตกุนซือ เบรนท์ฟอร์ด ที่เคยสร้างชื่อจากสไตล์บอลดุดัน เน้นเพรสซิ่ง และการปั้นทีมระดับกลางตารางให้เล่นงานยักษ์ใหญ่ได้บ่อยครั้ง แฟนบอลจำนวนไม่น้อยมองว่านี่คือ “แต้มคอมโบ” ที่ใช่สำหรับไก่เดือยทองยุครีบูต แต่เมื่อมองลึกไปที่ตัวเลขและผลงานในสนาม ภาพมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด

ทำไมสเปอร์สเลือกโธมัส แฟรงค์ มาทดแทนปอสเตโคกลู

การตัดสินใจเลือก แฟรงค์ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ สเปอร์สมองกุนซือเดนมาร์กคนนี้จากผลงานที่ เบรนท์ฟอร์ด ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นโค้ชที่สร้างระบบทีมได้ดี แม้จะไม่ได้มีขุมกำลังระดับซูเปอร์สตาร์

จุดขายของแฟรงค์คือ

  • การจัดทีมให้เล่นอย่างมีวินัยในเกมรับ
  • การเพรสซิ่งสูงเพื่อบีบคู่แข่งให้ผิดพลาด
  • การใช้ทรัพยากรนักเตะอย่างคุ้มค่า แม้ขนาดสโมสรจะไม่ใหญ่

เมื่อเทียบกับ ปอสเตโคกลู ซึ่งเน้นเกมรุกสุดลิ่มทิ่มประตู แฟรงค์ถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาช่วย “บาลานซ์” ให้ทีม ไม่ใช่แค่บุกมันส์ แต่ต้องเหนียวแน่นกว่าเดิม ทว่าจากผลงานช่วงออกสตาร์ตซีซั่น 2025/26 ตัวเลขกลับเริ่มตั้งคำถามว่า สเปอร์ส เดินมาถูกทางจริงหรือไม่

สถิติออกสตาร์ตยุคแฟรงค์: แรงช่วงต้น แผ่วช่วงยาว

เปิดหัวกันแบบเทพ เจ้าของใหม่ในม้านั่งอย่าง แฟรงค์ เริ่มต้นได้สุดโหดใน 4 เกมแรกของ พรีเมียร์ลีก

  • ชนะ เบิร์นลีย์ 3-0 (เหย้า)
  • ชนะ แมนฯ ซิตี้ 2-0 (เยือน) – เกมนี้เรียกเสียงฮือฮาทั้งลีก
  • แพ้ บอร์นมัธ 0-1 (เหย้า)
  • ชนะ เวสต์แฮม 3-0 (เยือน)

เก็บไป 9 คะแนนจาก 12 แต้มแรก ฟอร์มแบบนี้ทำเอาแฟนไก่เดือยทองเริ่มฝันไกลว่าทีมอาจกลับมาเบียดลุ้นพื้นที่ยุโรปได้ทันที

อย่างไรก็ตาม พอผ่านช่วงร้อนแรงแรกไป ฟอร์มของไก่ก็เริ่มสะดุด

สองเกมถัดมา

  • เสมอ ไบรท์ตัน 2-2
  • เสมอ วูล์ฟส์ 1-1

เริ่มเห็นอาการ “เบรคแตกไม่สุด แต่ก็ไม่ไปต่อ” เกมรุกยิงได้ เกมรับก็เสียง่าย

สามเกมถัดมา

  • ชนะ ลีดส์ 2-1 (เยือน)
  • แพ้ แอสตัน วิลล่า 1-2 (เหย้า)
  • ชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-0 (เยือน)

ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์รับได้ เป็นฟอร์มแบบ “ทีมกลางบน” แต่ยังไม่ถึงระดับทีมลุ้นแชมป์หรือ UCL

ปัญหาหนักจริงๆ เริ่มระเบิดในช่วงห้าเกมหลังสุด รวมถึงเกมล่าสุดที่บุกไปไล่ตีเสมอ นิวคาสเซิ่ล 2-2 อย่างหืดจับ สถิติช่วงนี้คือ

  • เสมอ 2 นัด
  • แพ้ 3 นัด
  • ไม่ชนะใครเลยตลอด 5 เกมหลัง

จากทีมที่เคยถูกยกให้ลุ้นท็อปโฟร์ กลับกลายเป็นต้องมานั่งคำนวณแต้มเพื่อไม่ให้หล่นไปกองกลางตารางแบบถาวร

สรุปผลงานโธมัส แฟรงค์ หลังคุม 14 นัดแรกในพรีเมียร์ลีก

ตัวเลขไม่โกหก – นี่คือผลงานของ สเปอร์ส ยุคแฟรงค์ หลังผ่านไป 14 เกมแรกในลีก

  • แข่ง 14 นัด
  • ชนะ 5 นัด
  • เสมอ 4 นัด
  • แพ้ 5 นัด
  • เก็บได้ 19 แต้ม
  • รั้งอันดับ 11 ของตาราง

นี่คือฟอร์มในระดับ “กลางตาราง” อย่างแท้จริง ไม่ได้ดุดันสมกับความคาดหวังของแฟนบอล และไม่ได้ดีพอจะกลบเสียงวิจารณ์เรื่องการปลด ปอสเตโคกลู ด้วย

เทียบ 14 นัดแรก: ปอสเตโคกลู ยังเหนือกว่าในมุมตัวเลข

ประเด็นที่ทำให้แฟนไก่หลายคนเริ่มหันกลับมาตั้งคำถามคือ เมื่อหันไปมองผลงาน 14 นัดแรกของซีซั่นก่อนภายใต้การนำของ ปอสเตโคกลู แล้วกลับพบว่า

  • ทีมเล่นฟุตบอลเกมรุกดุดัน
  • จำนวนชัยชนะและจำนวนประตูที่ทำได้ “ดูดีกว่า”
  • บรรยากาศรอบทีมและโมเมนตัมเชิงบวกในช่วงเริ่มต้นซีซั่นนั้นแข็งแรงกว่าปัจจุบัน

แม้ตอนจบฤดูกาล ผลงานจะล่มจนสโมสรต้องยอมรับว่าต้องเปลี่ยนแปลง แต่หากเทียบเฉพาะช่วง “ออกสตาร์ต 14 นัดแรก” ปอสเตโคกลู กลับสร้างอินแพ็คต่อทีมได้ชัดเจนกว่าในหลายมิติ ทั้งความตื่นเต้นของแฟนบอล ฟอร์มเกมรุก และบรรยากาศในสนาม

ตรงกันข้าม ยุคแฟรงค์เริ่มมาแบบหวือหวา แต่กำลังไหลออกด้านข้าง เสมอ-แพ้ถี่จนภาพรวมตอนนี้ใกล้จะถูกมองว่า “แค่ทีมกลางตารางที่ฟอร์มขึ้นๆ ลงๆ” เท่านั้น

มองแท็กติกและสภาพทีมสปีดสูงของสเปอร์สยุคใหม่

เมื่อแยกดูในเชิงแท็กติก แฟรงค์ยังคงพยายามวางระบบให้ทีมเล่นอย่างมีวินัยมากขึ้น เน้นการจัดระเบียบเกมรับให้แน่นกว่าเดิม แต่ในทางปฏิบัติ สเปอร์สมักพลาดในจังหวะเปลี่ยนผ่านเกมรับ-เกมรุก และเสียประตูง่ายในช่วงสำคัญ

  • เกมใหญ่บางนัด สเปอร์ส ยังคงเล่นได้ดี อัด แมนฯ ซิตี้ และ เวสต์แฮม แบบเนียนตา
  • แต่กับคู่แข่งที่รับแน่นหรือเล่นจังหวะโต้กลับเร็ว เช่น บอร์นมัธ หรือช่วงหลังๆ ที่เจอทีมกลางตารางกลับเจาะไม่เข้า หรือพลาดเองจนเสียประตู

ภาพรวมจึงดูเหมือนทีมยัง “ไม่เสถียร” ทั้งที่มีการเปลี่ยนกุนซือเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ

คำถามสำคัญคือ สเปอร์ส จะให้เวลา แฟรงค์ มากแค่ไหนในการจูนทีมให้เข้าที่ เพราะหากปล่อยให้แต้มไหลไปเรื่อยๆ ภาพหลอนอันดับ 17 ซีซั่นก่อนอาจย้อนมาให้แฟนบอลขนลุกได้อีกครั้ง

เกล็ดความรู้จากเคสสเปอร์สยุคโธมัส แฟรงค์

  1. เปลี่ยนโค้ชไม่ใช่ยาวิเศษเสมอไป
    การปลดโค้ชที่พาทีมได้แชมป์ยุโรป เพราะอันดับลีกไม่สวย คือการเดิมพันครั้งใหญ่ และจนถึงตอนนี้ตัวเลขยังไม่ได้ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ “ดีขึ้น” อย่างชัดเจน
  2. สไตล์บอล vs ผลงาน ต้องบาลานซ์ให้ได้
    ปอสเตโคกลู โดนวิจารณ์ว่าบอลมันส์แต่รับหลวม ขณะที่แฟรงค์ถูกคาดหวังให้เพิ่มความแน่นอน ความจริงคือทีมหัวตารางต้องมีทั้งสองอย่าง – ทีมที่บุกสนุกแต่ไม่นิ่ง หรือรับแน่นแต่จืดจาง มักไปไม่สุดทางทั้งคู่
  3. สถิติ 14 นัดแรกบอกเรื่องโมเมนตัมได้ดีมาก
    ตัวเลขในช่วงต้นฤดูกาลสะท้อนสภาพทีมและบรรยากาศโดยรวมได้อย่างดี หากออกสตาร์ตสะดุดบ่อย การเรียกความมั่นใจกลับมามักใช้เวลายาว และมีผลต่อเป้าหมายระยะยาวของสโมสร
  4. แฟนบอลสเปอร์สชินกับความโคสเตอร์
    ไม่ว่าจะยุคไหน ไก่เดือยทองมักเล่นใหญ่ทั้งในแง่ฟอร์มในสนามและดราม่านอกสนาม แฟนบอลจึงต้องมีทั้งใจรักและใจแข็งพร้อมรับทุกสถานการณ์เสมอ
  5. ความต่อเนื่องคือหัวใจของทีมลุ้นท็อปโฟร์
    การมีช่วงฟอร์มดีแล้วตกฮวบ เป็นสิ่งที่ทีมระดับท็อปใช้เป็นไม่ได้ ถ้าสเปอร์สอยากกลับไปอยู่บนหัวตารางจริงๆ แฟรงค์ต้องทำให้ทีม “นิ่ง” มากกว่านี้ ทั้งในผลการแข่งขันและวิธีการเล่น

แฟนบอลที่อยากตามทุกจังหวะของโลกฟุตบอล ทั้งข่าวลึกแท็กติก ตลาดนักเตะ และดราม่าริมเส้นจากลีกใหญ่ยุโรป…อย่าลืมติดตามความเคลื่อนไหวมันส์ๆ ได้ที่ พรีเมียร์ลีก GOALSIAM