ภาพรวมศึกพรีเมียร์ลีกที่ไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม

ศึก ผลบอล คู่ดึกที่สนามไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม กลายเป็นอีกค่ำคืนชวนหงุดหงิดของแฟนบอล เชลซี เมื่อทัพ สิงห์บลูส์ ของเอ็นโซ่ มาเรสก้า บุกทั้งเกมแต่เจาะแนวรับ บอร์นมัธ ไม่เข้า จบ 90 นาทีเสมอ 0-0 พร้อมต้องสังเวยอาการบาดเจ็บของ เลียม ดีแลป ตั้งแต่ครึ่งแรก กลายเป็นเกมที่ทั้ง “ฝืดสกอร์” และ “ฝืดฟอร์ม” ไปพร้อมกันในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนวันที่ 7 ธันวาคม 2568

ผลเสมอนัดนี้ทำให้ เชลซี เก็บได้เพียง 1 คะแนน รวมเป็น 25 แต้ม รั้งอันดับ 4 ของตาราง ส่วนเจ้าถิ่นบอร์นมัธเก็บเพิ่มเป็น 20 แต้ม ขยับหนีโซนล่างไปอยู่กลางตารางที่อันดับ 13

ครึ่งแรก: VAR พรากประตูบอร์นมัธ – สิงห์บลูส์เสียดีแลปกลางเกม

เสียงเชียร์เจ้าถิ่นแทบระเบิดตั้งแต่นาทีที่ 4 เมื่อ อองตวน เซเมนโย่ ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้สำเร็จ แต่จังหวะนี้ต้องลุ้น VAR ย้อนกลับไปเช็กตั้งแต่จังหวะตั้งต้นของ เอวานิลซอน และสุดท้ายภาพชัดเจนว่ามีตำแหน่งล้ำหน้าไปก่อน ลูกยิงของเซเมนโย่จึงถูกยกเลิก สกอร์ยังคง 0-0 ทำให้เชลซีรอดพ้นการโดนนำเร็วแบบหวุดหวิด

เกมผ่านช่วง 20 นาทีแรก เชลซีเริ่มตั้งลำได้ ครองบอลมากขึ้น พยายามต่อบอลสั้นจากแนวรับขึ้นมาแดนบน แต่จังหวะเข้าทำยังขาดความคมและความเด็ดขาดในพื้นที่สุดท้าย แนวรับบอร์นมัธช่วยกันปิดพื้นที่ตรงกรอบเขตโทษได้ดี ทำให้โอกาสยิงจ่อๆ ของทีมเยือนแทบไม่มีให้เห็น

นาทีที่ 32 มาเรสก้าเจอข่าวร้ายเมื่อ เลียม ดีแลป มีอาการบาดเจ็บเล่นต่อไม่ไหวจากจังหวะปะทะ ก่อนโดนเปลี่ยนตัวออกให้ มาร์ค กิว ลงมาแทน แผนเกมรุกที่เตรียมไว้ต้องปรับกลางอากาศ ส่งผลต่อจังหวะเซตเกมของเชลซีอย่างเลี่ยงไม่ได้

ช่วงท้ายครึ่งแรก ทั้งสองทีมพยายามเร่งจังหวะเพื่อหวังปลดล็อกประตูแรก แต่ก็ยังหาทางผ่านแนวรับคู่แข่งไม่สำเร็จ จบ 45 นาทีแรก บอร์นมัธ เสมอ เชลซี 0-0 ตามรูปเกมที่สูสีแต่จังหวะท้ายๆ ยังฝืดทั้งคู่

ครึ่งหลัง: บอร์นมัธเกือบเฮ เชลซีบุกหนักแต่ยังไม่คมพอ

เข้าสู่ครึ่งหลังได้เพียง 2 นาที แฟนเจ้าถิ่นได้ลุกฮือเกือบฉลองประตู เมื่อ มาร์คัส เทรเวอเนียร์ ได้บอลทางฝั่งซ้าย ก่อนกดด้วยซ้ายเต็มข้อ บอลพุ่งแรงผ่านมือผู้รักษาประตูไปแล้ว แต่หลุดเสาไกลออกไปนิดเดียวเท่านั้น เป็นจังหวะเตือนแนวรับเชลซีแบบจังๆ ว่าห้ามหลุดสมาธิ

หลังรอดเสียประตู เชลซีเริ่มขยับเกมรุกบ้าง เปโดร เนโต้ ได้โอกาสทะลุเข้าเขตโทษฝั่งขวา ก่อนซัดยัดเสาแรกหวังฆ่าให้จบ แต่มาเจอ ยอร์เย่ เปโตรวิช นายทวารบอร์นมัธยืนตำแหน่งดี ปัดทิ้งออกไปได้อย่างยอดเยี่ยม

เท่าที่เหลือ เชลซีพยายามเดินหน้าบุกเต็มกำลัง ทั้งเพิ่มจังหวะครอสบอลจากริมเส้น และลองยิงไกลจากนอกกรอบ แต่เกมรุกยังขาดความไหลลื่น บอลสุดท้ายไม่แม่นพอ หลายครั้งถูกแนวรับเจ้าถิ่นดักตัด หรือไม่ก็ไปจบที่เซฟของผู้รักษาประตู ทำให้ทัพสิงห์บลูส์ไม่สามารถเปลี่ยนความได้เปรียบด้านการครองบอลให้กลายเป็นประตูได้เลย

ฝั่งบอร์นมัธเองก็ยังอันตรายกับเกมสวนกลับ แต่เมื่อไม่มีจังหวะจบสกอร์เด็ดขาดเช่นกัน สุดท้ายเสียงนกหวีดหมดเวลาจึงดังขึ้นพร้อมผลเสมอ 0-0 แบบไร้สกอร์

สถานการณ์บนตารางคะแนน และแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นของเชลซี

ผลเสมอนัดนี้ทำให้ เชลซี ไร้ชัยในลีกเป็นนัดที่สามติดต่อกัน ฟอร์มที่สะดุดแบบต่อเนื่องย่อมทำให้ความกดดันถาโถมเข้าใส่ เอ็นโซ่ มาเรสก้า และลูกทีมอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้คะแนนรวม 25 แต้มยังดีพอให้อยู่ในโซนหัวตาราง แต่การเก็บได้เพียงแต้มเดียวในเกมที่หลายคนคาดหวัง “ต้องชนะ” ย่อมไม่ใช่สัญญาณที่ดีนักต่อการลุ้นพื้นที่ท็อปโฟร์ระยะยาว

ขณะเดียวกัน บอร์นมัธเก็บเพิ่มเป็น 20 แต้ม รั้งอันดับ 13 ในโซนค่อนบนของตาราง ถือว่าสถานการณ์เริ่มนิ่งมากขึ้นหลังเปิดฤดูกาลแบบกระท่อนกระแท่น การแบ่งแต้มจากทีมใหญ่อย่างเชลซีได้ ย่อมช่วยเพิ่มความมั่นใจทั้งในห้องแต่งตัวและบนอัฒจันทร์ของแฟนบอลเจ้าถิ่น

ปัญหาที่เชลซีต้องรีบแก้ หลังเจ๊าไร้สกอร์อีกเกม

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่สะท้อนชัดจากเกมนี้คือ “การปิดบัญชี” ของแนวรุก เชลซี มีโอกาสพอสมควร แต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้ ทั้งจากจังหวะยิงติดบล็อก การตัดสินใจช้า และการขาดความเฉียบคมในพื้นที่สุดท้าย

การเสีย เลียม ดีแลป ตั้งแต่ครึ่งแรกยิ่งทำให้แผนเกมรุกที่เตรียมมาถูกบิดไปอีกขั้น มาร์ค กิว แม้พยายามขยันไล่บีบ แต่ยังต้องใช้เวลาปรับจังหวะกับเพื่อนร่วมทีม หากเชลซีต้องการยืนระยะในช่วงโปรแกรมหนักต่อจากนี้ พวกเขาต้องหาทางรีดฟอร์มแนวรุกให้เฉียบคมกว่านี้โดยด่วน

เกล็ดความรู้หลังเกม

  • ผลเสมอ 0-0 แบบนี้มักทำให้ “ความมั่นใจเกมรุก” ถูกตั้งคำถามมากกว่าเกมที่แพ้แบบยิงสู้กันสูสี เพราะสะท้อนว่าทีมขาดไอเดียในพื้นที่สุดท้าย
  • การบาดเจ็บของกองหน้าตัวหลักกลางเกม มักส่งผลต่อโครงสร้างเกมรุกมากกว่าที่เห็น เพราะคู่ซ้อมและแท็กติกที่เตรียมไว้ต้องเปลี่ยนแบบฉับพลัน
  • การเก็บแต้มจากทีมใหญ่ แม้เป็นแค่ผลเสมอ แต่สำหรับทีมอย่างบอร์นมัธคือ “โบนัสสำคัญ” ในการหนีโซนตกชั้นระยะยาว

แฟนบอลที่อยากตามทุกจังหวะของโลกฟุตบอล ทั้งในและนอกสนาม อย่าลืมติดตามความเคลื่อนไหวมันส์ๆ ได้ที่ พรีเมียร์ลีก GOALSIAM