แฟนบอล ลิเวอร์พูล ต้องสะเทือนใจกับคดีฉาวกลางเมือง เมื่อศาลอังกฤษมีคำพิพากษาตัดสินโทษจำคุกยาว 21 ปี 6 เดือนให้กับ พอล ดอยล์ อดีตนาวิกโยธิน วัย 54 ปี หลังขับรถพุ่งใส่กลุ่มกองเชียร์ที่ออกมาฉลองแชมป์ พรีเมียร์ลีก บนถนนวอเตอร์ สตรีท ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บมากถึง 134 ราย ตั้งแต่ทารกไปจนถึงผู้สูงอายุ เหตุการณ์ที่ควรเป็นคืนแห่งความทรงจำ กลับกลายเป็นฝันร้ายที่คนทั้งเมืองไม่มีวันลืม

ภาพรวมคดีสุดสลดกลางขบวนฉลองแชมป์

เหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างการฉลองแชมป์ของแฟนบอล ลิเวอร์พูล ร่วมกับขบวนพาเหรดของสโมสร เมื่อช่วงเย็นวันที่ 26 พฤษภาคม บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงเพลง ธงแดงโบกสะบัด และผู้คนหลั่งไหลออกมาบนถนนวอเตอร์ สตรีท เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานโมเมนต์ประวัติศาสตร์ของทีมรัก

แต่แล้วความสุขก็ถูกฉีกทิ้งในพริบตา เมื่อ พอล ดอยล์ คุณพ่อลูกสาม อดีตนาวิกโยธิน ตัดสินใจขับรถพุ่งเข้าหากลุ่มแฟนบอลอย่างแรง ชนผู้คนล้มกลิ้งระเนระนาด เหตุการณ์ชุลมุนในไม่กี่วินาทีสร้างบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับผู้คนจำนวนมหาศาล

ยอดผู้บาดเจ็บถูกระบุอย่างเป็นทางการมากถึง 134 ราย ตั้งแต่ทารกวัยเพียงหกเดือน ไปจนถึงผู้สูงอายุอายุ 77 ปี ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งระหว่างการเฉลิมฉลองฟุตบอลในเกาะอังกฤษช่วงหลายปีหลัง

ลำดับเหตุการณ์: จากคืนแห่งความสุข สู่คืนแห่งความโกลาหล

ข้อมูลจากการไต่สวนระบุว่า เหตุเกิดเวลาประมาณหกโมงเย็น บริเวณถนนวอเตอร์ สตรีท ท่ามกลางแฟนบอลที่ยืนกระจายตัวกันเต็มพื้นที่เพื่อชมขบวนฉลองแชมป์ พรีเมียร์ลีก ของ “หงส์แดง”

ดอยล์ขับรถเข้ามายังจุดดังกล่าว ก่อนจะเร่งความเร็วพุ่งเข้าใส่กลุ่มกองเชียร์โดยไม่มีสัญญาณเตือน ผู้คนจำนวนมากไม่มีเวลาหลบ บางคนถูกชนกระเด็น บางคนล้มลงแล้วถูกเบียดทับจากความโกลาหลรอบตัว

ในวินาทีนั้น เสียงเฮฉลองแชมป์แปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง ความวุ่นวาย และการตะโกนขอความช่วยเหลือ หน่วยแพทย์ฉุกเฉินและเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องระดมกำลังเข้าพื้นที่ทันทีเพื่อช่วยปฐมพยาบาล และนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล

คำให้การแรกของดอยล์: อ้างถูกขู่ทำร้าย

หลังถูกจับกุม พอล ดอยล์ พยายามปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าในช่วงก่อนเกิดเหตุมีชายคนหนึ่งถือมีดพยายามพุ่งเข้ามาหา ทำให้เขาตื่นกลัวและตัดสินใจกดคันเร่งเพื่อหนีเอาตัวรอด

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เชื่อเพียงคำพูด แต่หันไปพึ่ง “พยานปากสำคัญ” อย่างกล้องวงจรปิดในพื้นที่ ซึ่งเมื่อมีการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่พบหลักฐานใดๆ ว่ามีคนถือมีดหรือพยายามเข้ามาทำร้ายดอยล์ในบริเวณดังกล่าวเลย

ผลจากหลักฐานด้านภาพ ทำให้คำให้การในช่วงแรกของจำเลยถูกมองว่าเป็นการ “แก้ตัว” มากกว่าจะเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลในคดีอุกฉกรรจ์เช่นนี้

กลับลำยอมรับผิด ก่อนศาลชี้เจตนาชัด

จุดเปลี่ยนสำคัญในคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน หลังอัยการยื่นกำหนดวันไต่สวนคดีอย่างเป็นทางการ ดอยล์ตัดสินใจ “กลับคำให้การ” ยอมรับผิดในข้อกล่าวหาที่ถูกตั้งขึ้น ก่อนที่ศาลจะเดินหน้าสู่กระบวนการไต่สวนอย่างเต็มรูปแบบเป็นเวลาสองวัน

ในชั้นศาล มีการเปิดเผยข้อมูลเพิ่มว่า ดอยล์เคยมีประวัติ ทำร้ายร่างกาย มาแล้วตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 และในวันเกิดเหตุ เขาไม่ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของแอลกอฮอล์หรือสารเสพติดใดๆ ขณะควบคุมพวงมาลัยรถยนต์

ประเด็นนี้ทำให้ศาลมีมุมมองสำคัญว่า การขับรถพุ่งชนแฟนบอล ลิเวอร์พูล ครั้งนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุจากความมึนเมาหรือขาดสติชั่ววูบ แต่เป็นการกระทำที่มี “เจตนา” ในระดับหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้

คำพิพากษาศาล: 21 ปี 6 เดือน เพื่อสะท้อนน้ำหนักของเหตุการณ์

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ศาลอังกฤษมีคำพิพากษาชัดเจน ให้ลงโทษ จำคุก พอล ดอยล์ เป็นเวลา 21 ปี 6 เดือน โทษหนักระดับนี้ไม่ใช่แค่เพื่อจัดการกับตัวผู้กระทำ แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังสังคมว่า การใช้รถยนต์เป็นอาวุธเพื่อทำร้ายผู้อื่นในที่สาธารณะ เป็นอาชญากรรมที่ไม่อาจยอมรับได้ในทุกกรณี

ศาลระบุชัดว่า การกระทำของดอยล์สร้างความบอบช้ำทั้งทางกายและใจแก่ผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงอายุ และยังทำลายความปลอดภัยของพื้นที่สาธารณะในช่วงเวลาที่ควรเป็นช่วงแห่งการเฉลิมฉลองของเมืองทั้งเมือง

สรุป: บทเรียนราคาแพงในวันที่บอลควรมีแต่รอยยิ้ม

คดีนี้สะท้อนให้เห็นด้านมืดของสังคมในยุคที่ “ความรุนแรง” สามารถปะทุขึ้นได้แม้ในวันที่ทุกคนออกมาฉลองชัยชนะร่วมกัน แฟนบอล ลิเวอร์พูล จากวันนั้นไม่ได้กลับบ้านพร้อมแต่ภาพความสุข แต่ต้องแบกแผลใจไปอีกนาน

โทษจำคุก 21 ปี 6 เดือน อาจเป็นคำตัดสินที่หลายคนมองว่าเหมาะสมกับน้ำหนักของเหตุการณ์ แต่อีกด้านหนึ่ง ความสูญเสียที่เกิดขึ้นในใจของผู้บาดเจ็บและครอบครัว รวมถึงภาพจำอันเลวร้ายในวันฉลองแชมป์ พรีเมียร์ลีก คงไม่มีวันถูกลบเลือนง่ายๆ

นี่คือคำเตือนว่า “ความประมาทหรือการเลือกใช้ความรุนแรงเพียงเสี้ยววินาที” สามารถเปลี่ยนคืนแห่งประวัติศาสตร์ให้กลายเป็นรอยแผลแห่งความทรงจำไปตลอดกาล

เกล็ดความรู้

  • ในหลายประเทศในยุโรป กฎหมายเริ่มมอง “การใช้รถยนต์พุ่งชนฝูงชน” ว่าเป็นการใช้ยานพาหนะเป็นอาวุธ ทำให้บทลงโทษมีความรุนแรงใกล้เคียงคดีทำร้ายร่างกายอย่างจงใจหรือก่อการร้ายในบางกรณี
  • การจัดขบวนพาเหรดฉลองแชมป์ของสโมสรฟุตบอลใหญ่ๆ มักมีการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ตั้งแต่การปิดถนน การจัดกำลังตำรวจ ไปจนถึงการตั้งจุดตรวจยานพาหนะ แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันเหตุไม่คาดคิดได้ 100%
  • กล้องวงจรปิดในเมืองใหญ่ กลายเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญในคดีอาญาทั่วโลก โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุในที่สาธารณะ เพราะสามารถยืนยันลำดับเหตุการณ์ และหักล้างคำให้การเท็จได้อย่างมีน้ำหนัก

ใครที่อยากตามทุกมุมเข้มๆ ของโลกฟุตบอล ทั้งในสนามและนอกสนาม อย่าลืมติดตามข่าวเด่น เรื่องร้อน และบทวิเคราะห์สุดดุดันได้ที่ พรีเมียร์ลีก GOALSIAM